Articles by "economic"
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ economic แสดงบทความทั้งหมด
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


5ต.ค.61-แหล่งข่าวจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เปิดเผยว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคสช. ไม่พอใจ ที่กระทรวงต่างๆที่รับผิดชอบโครงการไทยนิยมยั่งยืน นำโดยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น ไม่ผลักดันโครงการอย่างเต็มที่   หลังอนุมัติงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 95,758.1 ล้านบาท  ลงไปในพื้นที่  81,151 ชุมชน แต่ที่ผ่านมาประชาชนไม่รู้จัก   ผลงานไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม  และไม่คืบหน้าเท่าที่ควร    ทั้งที่เป็นช่วงใกล้เลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.62 ที่นายกฯจำเป็นจะต้องสร้างผลงาน
“นายกฯไม่พอใจมาก ที่รัฐมนตรีต่างๆ มุ่งทำงานในกระทรวงของตัวเองเท่านั้น  ขณะที่ข้าราชการก็เกียร์ว่าง  ไม่สนใจโครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งเป็นผลงานภาพรวมและหน้าตาของรัฐบาล   จนเริ่มมีนักการเมืองเข้ามาตรวจสอบ และเชื่อว่าจะนำมาขยายประเด็นให้เห็นประชาชนเห็นถึงความล้มเหลวในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง   สุดท้ายจะกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลอย่างแน่นอน” แหล่งข่าวในคสช.ระบุ
ด้านนายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงโครงการไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาลว่า โครงการดังกล่าวไม่ต่างจากโครงการประชานิยมก่อนหน้านี้ที่มีแต่การลดแลกแจกแถมสิ่งต่างๆให้ประชาชนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ทราบว่าจะเป็นผลดีกับประชาชนหรือไม่ เพราะเมื่อมีการลงพื้นที่สอนอาชีพ และประชุมประชาชนในพื้นที่แล้วก็ไม่มีการสานต่อบางโครงการก็ซ้ำซ้อน สุดท้ายก็หายไปไม่ต่อเนื่อง ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง จึงมองว่าเป็นเพียงโครงการประชาสัมพันธ์หาเสียงของรัฐบาลเท่านั้น

ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


เผยการใช้วงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อสินค้าในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เกือบ 1 ปี มียอด 4.1 หมื่นล้าน และในจำนวนนี้เป็นการใช้ซื้อสินค้าชุมชนและสินค้าเกษตรกว่า 2 หมื่นล้าน ช่วยทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากกว่า 1 แสนล้าน ตั้งเป้าปี 62 มีเงินหมุนเวียนในระบบไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้าน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 11.4 ล้านคน ที่นำวงเงินในบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจำนวนกว่า 5 หมื่นราย ซึ่งมีทั้งร้านค้าแบบใช้เครื่องรูดบัตร EDC และร้านค้าแบบใช้มือถือรับชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2560- 20 ก.ย.2561 มียอดซื้อสินค้ารวม 4.1 หมื่นล้านบาท และในยอดนี้เป็นการใช้เพื่อซื้อสินค้าชุมชนและสินค้าจากเกษตรกรที่นำไปจำหน่ายในร้านค้ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก
“ในวงเงิน 2 หมื่นล้านที่ใช้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าชุมชนและสินค้าเกษตรที่นำมาวางจำหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐนี้ คาดว่าจะมีการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในส่วนภูมิภาคได้ถึง 5 รอบ คิดเป็นวงเงินประมาณ 1 แสนล้านบาทในปี 2561 เพราะเงินได้ลงไปถึงผู้ผลิตสินค้าในชุมชน ลงไปถึงเกษตรกรจริงๆ และเมื่อคนเหล่านี้มีรายได้ ก็นำเงินไปจับจ่ายใช้สอยต่อ ทำให้เศรษฐกิจในระดับฐานรากมีการหมุนเวียน”นายสนธิรัตน์กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2562 กระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะผลักดันให้สินค้าชุมชนและสินค้าจากเกษตรกร มีช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐได้เพิ่มมากขึ้น เพราะหากมีสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายได้เพิ่ม ก็จะช่วยเพิ่มวงเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานราก โดยมีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนให้เกิดเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท 
สำหรับสินค้าชุมชนและสินค้าจากเกษตรกรที่ขายดีในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ได้แก่ ข้าวสาร ผักและผลไม้ตามฤดูกาล เช่น แตงโม ทุเรียน มะนาว สับปะรด กระเทียม หอมแดง ขนมเปี๊ยะเต้าส้อ เค้ก กล้วยตาก กล้วยฉาบ ข้าวแต๋น น้ำพริกต่างๆ เป็นต้น
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในด้านการเชื่อมโยงเครือข่ายและเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าชุมชน สินค้าเกษตรกร เข้าไปจำหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ กระทรวงฯ มีแผนที่จะจัดเชื่อมโยงเพื่อสร้างเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จัดที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2561 ที่ผ่านมา ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีร้านค้าและผู้ผลิตเข้าร่วมประมาณ 500 ราย มีการจับคู่ซื้อขายกว่า 90 ราย วงเงินกว่า 5 ล้านบาท และจะมีการซื้อขายต่อเนื่องในอนาคตอีก และในวันที่ 27 ก.ย.2561 ได้จัดที่ จ.เชียงใหม่ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ยังมีกำหนดจัดในภาคอื่นๆ ต่อไปด้วย ซึ่งจะกำหนดอีกครั้ง

ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือน ส.ค.ขยายตัวได้ 6.7 %ถือเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 โดยการส่งออกในตลาดสำคัญขยายตัวเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดอินเดีย,ตลาด CLMV โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง22,794 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นมูลค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ที่ไทยมีการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ 

ส่วนแนวโน้มการส่งออกในปี 61 ยังมีสัญญาณเป็นบวก จากเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคต่างๆขยายตัวอย่างต่อเนื่องเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 9 % จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 8% อย่างไรก็ตามแม้การส่งออกจะขยายตัวได้ดีแต่ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงกับปัจจัยภายนอก ได้แก่ ความไม่มีเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า อีกทั้งเรื่องเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยมองว่าผู้ส่งออกควรใช้สกุลเงินต่างๆเข่น เงินหยวน เงินบาท ในการค้าขายมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐกับจีน ประเทศไทยยังรับมือได้ แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


20 ก.ย.61 -  พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่าเวลา 10.30 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม พร้อมคณะจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปเป็นประธาน มอบโฉนดที่ดินและทรัพย์สินคืนให้กับประชาชนในพื้นที่ 12 จว.ภาคอีสาน ณ จ.กาฬสินธุ์  ซึ่งเป็นการปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังทั่วประเทศพร้อมกัน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จากนายทุนโหด ปล่อยกู้นอกระบบ ครั้งที่ 3 ( 15 ส.ค.- 17ก.ย.61 )
โดยพื้นที่ 8 จว.ภาคอีสาน ในความรับผิดชอบของ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้บังคับใช้กฎหมายกับเจ้าหนี้นอกระบบในพื้นที่ สามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ 1,333 ราย นำทรัพย์สินคืนให้ประชาชน มูลค่า 3,249 ล้านบาท เป็นโฉนดที่ดิน 1,407 ฉบับ จำนวนที่ดินกว่า 5,100 ไร่  ทั้งนี้  พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำโดยสรุปในภาพรวมว่า รัฐบาลกำลังพยายามเข้าไปสร้างโอกาสและความเท่าเทียมกันในสังคม ด้วยการเข้าไปช่วยดูแลแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของประชาชน โดยจะไม่ปล่อยให้ผู้มีรายได้น้อยถูกโดดเดี่ยวลำพังอีกต่อไป ทั้งนี้จะพยายามคืนความเป็นธรรมและสนับสนุนในทุกคนสามารถลุกยืนและเข้มแข็งไปด้วยกันให้ได้ในที่สุด
พล.ท.คงชีพ กล่าว ถึงบรรยากาศในภาพรวม เต็มไปด้วยรอยยิ้มและน้ำตาของประชาชน หลังจากรับคืนทรัพย์สินจากหนี้นอกระบบทั่วประเทศครั้งที่ 3  จากมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสามารถเจรจานำไปสู่การไกล่เกลี่ยทำข้อตกลงร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วกว่า 4,200 ราย อยู่ระหว่างเจรจา 1,200 ราย สามารถคืนทรัพย์สิน รวมทั้งบ้านและที่ดินให้ประชาชนได้เกือบ 4,300 ล้านบาท เป็นโฉนดที่ดิน กว่า 3,200 ฉบับ และสามารถดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดได้ทั้งสิ้น 481 ราย ยึดของกลางได้มูลค่ากว่า 370 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังนำกลไกรัฐ เข้าไปเสริมความเข้มแข็งชุมชน เพื่อการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศงานนี้ ชาวบ้านที่ได้รับมอบโฉนดที่ดิน ถึงกับหลั่งน้ำตา ด้วยความดีใจ และตะโกนให้ พล.อ.ประวิตร สู้ๆ  ท่ามกลางประเด็น   "ป้อมเกาะโต๊ะขอเป็นผบ.ทบ."  จากปากคำนายทักษิณ ชินัวตร อดีตนายกฯซึ่งหลบหนีคดีอยูต่างประเทศ.

ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


14 ก.ย.61 เมื่อเวลา 20.15 น.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตอนหนึ่งถึงการพัฒนารูปแบบตลาดประชารัฐ ว่า การตั้งตลาดประชารัฐเพื่อให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่มีสถานประกอบการ ได้มีพื้นที่ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าในตลาดประชารัฐ 10 ประเภท จากหลายกระทรวง กว่า 6,600 แห่งทั่วไทย

รวมทั้งเป็นแหล่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร สินค้าชุมชนต่างๆ อีกด้วย ตลอดระยะเวลา 8 เดือน โดยมีผู้ผลิต , เกษตรกร และผู้ประกอบการ มาลงทะเบียนเพื่อนำสินค้ามาขายในตลาดกว่า 1 แสนราย และได้รับการจัดสรรพื้นที่จำหน่ายแล้วกว่า 96,000 ราย (หรือร้อยละ 91) สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้กว่า 1,200 ล้านบาท หรือกล่าวได้ว่า เราสามารถสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น เฉลี่ยกว่า 1,800 บาทต่อเดือน
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ตลาดประชารัฐจะเป็นตลาดต้นแบบในอนาคต ที่จะเน้นการสร้างมาตรฐานใหม่ คือ ความสะอาด ปลอดภัย สะดวก และไม่ใช้โฟม ลดถุงพลาสติก โดยมีการตรวจมาตรฐานเป็นระยะๆ ปัจจุบันก็มีตลาดที่ผ่านเกณฑ์การประเมินระดับดีมาก และดี ร้อยละ 37 โดยมีเพียงร้อยละ 19 ที่ต้องได้รับการปรับปรุงต่อไป
"ในอนาคตก็จะยกระดับตลาดประชารัฐให้เป็นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยคัดเลือกตลาดที่มีศักยภาพ เสนอบรรจุกิจกรรมต่างๆ ไว้ในปฏิทินปีท่องเที่ยวไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน จำนวน 171 ตลาด ใน 70 จังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งให้เป็นตลาดรองรับสินค้าเกษตร หรือเป็นแหล่งระบายสินค้าเกษตรตามฤดูกาล ช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้นตลาด พร้อมขยายผลตลาดประชารัฐไปยังส่วนราชการที่มีความพร้อม ในการสนับสนุนพื้นที่ให้เกษตรกรที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมนำสินค้ามาจำหน่ายในตลาด 475 แห่งทั่วประเทศ" นายกฯ ระบุ

ข่าวจาก แนวหน้า  
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


11 ก.ย.61- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา      เป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่สามารถดำเนินกิจการได้เพียงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น อันเป็นการเพิ่มรูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมือง และขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารของท่าอากาศยานในภูมิภาค. 

ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


10 ก.ย.61 นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภารกิจการระบายข้าวตลอดกว่า 4 ปีที่ผ่านมาจากปริมาณตรวจสอบตัวเลขทางบัญชีของหน่วยงานที่เก็บข้าวในสตอกทั้งองค์การคลังสินค้า ( อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) มีสูงถึง 18.7 ล้านตัน แต่มีการจัดทีมลงตรวจสอบสตอกข้าวทั่วประเทศ พบตัวเลขข้าวที่มีอยู่จริง 17.76 ล้านตัน ทำให้มีส่วนต่างทางบัญชีหายไปกว่า 940,000 ตัน ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน( สตง.)

นายอดุลย์ กล่าวว่า ทั้งนี้ทำให้ปริมาณการระบายข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ เริ่มที่ 17.76 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้มีภาระผูกพันกับการขายข้าวของรัฐบาลที่แล้วประมาณ  850,000 ตัน  ทยอยส่งมอบทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ได้มีการรายงานตัวเลขของมูลค่าตรงนี้ให้กรมการค้าต่างประเทศ ดังนั้นกรมฯ สามารถระบายผ่านการประมูลได้ทั้งหมดรวม 32 ครั้ง ปริมาณ 16 .91 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าส่งกลับคืนคลัง 146,176 ล้านบาท และภาครัฐมีภาระต้องจ่ายค่าเช่าโกดังเก็บฝากข้าวตลอดที่ผ่านมาสูงถึง 93,600 ล้านบาท โดยไม่ได้รวมตัวเลขขาดทุนจากจำนวนข้าว ทำให้เมื่อหยุดการระบายข้าวส่งผลให้หยุดค่าเช่าโกดังไปโดยอัตโนมัติ
นายอดุลย์ กล่าวอีกว่า ปริมาณข้าวที่ทำสัญญาก่อนส่งมอบดำเนินการไปแล้วกว่า 15.9 ล้านตัน แต่มีการรับมอบไปเพียง 12.6 ล้านตัน ยังเหลือไม่รับมอบอีกประมาณ  2.99 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวเพื่อบริโภคประมาณ  65 0,000 ตัน ที่เหลือเป็นข้าวกลุ่ม 2 และกลุ่ม 3 รวมกัน หากไม่มีการรับมอบตามสัญญาที่กำหนดอาจจะต้องมีการนำกลับมาประมูลใหม่อีกครั้ง
“ดังนั้นถือได้ว่ากรมการค้าต่างประเทศ สามารถระบายสตอกข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมาจบแล้ว ส่วนจะนำข้าวที่อยู่ระหว่างเจรจาส่งมอบเพิ่มหรือไม่ ต้องให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณา แต่ในส่วนนี้ภาครัฐไม่ต้องดูแลเรื่องของค่าเช่าโกดัง เพราะถือว่าได้มีการทำสัญญาซื้อขายข้าวไปแล้ว”นายอดุลย์ กล่าวย้ำ

ข่าวจาก แนวหน้า
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


วันนี้ (7 ก.ย.) ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ ลงพื้นที่พบปะประชาชน โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า มาครั้งนี้รู้สึกอบอุ่นใจ จ.ลพบุรีเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นดินแดนแห่งราชธานีแห่งที่ 2 ของไทย และตนเองเป็นคนลพบุรี เกิดที่โคราชแต่มาโตที่ลพบุรี เพราะพ่อมาเป็นทหารที่นี่ อย่างไรก็ตาม วันนี้มาติดตามงาน ติดตามปัญหาของประชาชนว่ามีอะไรที่จะทำความเข้าใจกันได้บ้าง ไม่ได้มาทำงานการเมือง และวันนี้ตื่นเต้นกลับมาบ้านเก่า แต่บ้านเก่าหมายถึงบ้านที่เคยอยู่อาศัย แต่เมื่อเป็นรัฐบาลไม่สามารถทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ทำเพื่อคนลพบุรี หรือคนโคราชอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องทำให้ทุกจังหวัด
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ลพบุรีถือเป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม ดินแดนที่สงบสุข เป็นพื้นที่ปลอดภัยจากภัยสงครามตั้งแต่อดีต เป็นที่ตั้งของกองกำลังทหาร ทั้งนี้ ย้ำว่าทหารไม่ใช่ศัตรูของประชาชน ตนเป็นทหารมา 40 ปี ไม่เคยคิดเป็นศัตรูกับประชาชนเลย ซึ่งทหารมีคติพจน์ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ปกป้องอธิปไตยและรักษาความมั่นคงภายใน ดังนั้น จำเป็นที่ต้องมีทหาร อย่าเชื่อหากใครบอกไม่ต้องมีทหารแล้วก็ได้ เพราะในยามที่ไม่มีการสู้รบก็ต้องมีทหารเพื่อสร้างความเข้มแข็ง



พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เราทุกคนทิ้งดินแดนแห่งนี้ไม่ได้ ประเทศไทยเป็นดินแดนที่ดีที่สุด วันหน้าประเทศไทยต้องเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย แต่ขอให้เป็นประชาธิปไตยที่ลดความขัดแย้ง รบกันไปมาไม่เกิดประโยชน์ จึงขอให้ทุกคนช่วยกันและมีหลักคิด เพราะไม่มีรัฐบาลไหนทำเองได้ทั้งหมด และทุกรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล สิ่งสำคัญต้องไม่มีการทุจริต ในส่วนของรัฐบาลนี้หากมีข้อมูลหลักฐานการทุจริต ส่งข้อมูลมาที่ตนได้ทันที การตัดสินใครผิดถูกก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ถ้ามีคนเลวๆ ในระบบก็ต้องให้คนเหล่านั้นออกไป หากมีใครรังแก ทุจริตก็แจ้งมายังตน ไม่ว่าจะเป็นใครจะถูกลงโทษสถานหนัก จะเห็นจากมีการปลดหรือย้ายคนจำนวนมาก ตนทำด้วยบริสุทธิ์ใจ จึงไม่กลัวอะไรในการใช้อำนาจในการบริหาร และไม่ได้ตั้งใครเพื่อเป็นพวกของตน หรือผลประโยชน์ทางการเมือง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยติดกับดักประชาธิปไตยและกับดักรายได้ปานกลางทำให้ไปไหนไม่ได้ เสียเวลามากว่า 10 ปี ที่มีขัดแย้ง ทุกรัฐบาลติดขัดไปหมด รัฐบาลนี้จึงต้องไปทุกที่ทุกตารางนิ้ว ไม่ว่าที่ไหนจะชอบหรือไม่ แม้จะเกลียดก็จะไป ก็จะมาให้เกลียด ไม่ได้มาให้รัก หากจะเกลียดก็เป็นเรื่องของประชาชน ยิ่งเกลียดก็จะรักให้มากขึ้น และที่เขายังไม่รักเพราะอะไร เราไม่ได้ทำอะไรให้ หรือยังไม่เป็นธรรม อย่าเลือกที่รัก มักที่ชัง ทุกรัฐบาลต้องคิดแบบนี้ ไม่ใช่นำพาไปพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ขณะที่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ขอย้ำตนไม่ได้อยู่ถึงวันนั้น ทุกอย่างอยู่ที่การเลือกตั้ง และการวางยุทธศาสตร์ก็ทำเป็น กฎหมายควบคู่กับรัฐธรรมนูญที่ต้องเดินไปตามนี้ ส่วนใครจะล้มอีกก็ช่วยไม่ได้แล้วเพราะปล่อยให้ทำกันเอง



นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ทุกพรรคต้องเข้ามาวาดประเทศว่าจะไปทางไหน วันนี้ทุกจังหวัดได้งบปรระมาณมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เพราะนายกฯ ไม่ได้อยู่พรรคไหน ทุกจังหวัดคือพรรคของรัฐบาล เดี๋ยวจะหาว่าตนเองพูดการเมืองอีก แต่เราต้องดูแลคนไทยทุกคน และขอให้คนไทยเลิกทะเลาะกันเอง เลิกเอาคนไปตีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาที่ขณะนั้นมีชาวต่างชาติ แต่วันนี้มีคนไทยตีกันเอง และจะตีกันเองทำไม ประชาธิปไตย ตีกันมากกว่า 10 ปีทำให้เส้นเลือดของประเทศตีบตัน วันนี้จึงต้องปลดล็อกสิ่งเหล่านี้ให้ได้ และวันนี้ต้องปฏิรูปประเทศเพื่อประชาชน ไม่ได้ปฎิรูปให้ตนเองมีอำนาจอยู่ 

“ผมไม่ได้มาหาเสียง แต่มาพูดเพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นอะไร การเมืองต้องไม่ทำให้ประเทศถอยหลังอีกต่อไปสัญญากับผมได้หรือไม่ ใครคิดว่าจะทำให้การเมืองมันดีขึ้น ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลดีขึ้น เลือกตั้งได้คนดี ยกมือขึ้น คนดีคือคนที่ทำให้เราอย่างแท้จริง และทำให้คนอื่นด้วย รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง การฟอร์มรัฐบาลก็มาจากหลายพรรคคนละพรรค เว้นแต่เมื่อไหร่ตั้งนายกฯ แต่เวลาคณะรัฐมนตรีทำงานต้องทำเพื่อคนทั้งประเทศ ทั้งที่เลือกและไม่เลือกตัวเองมา เพราะรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยทำตามเสียงส่วนใหญ่ ไม่ใช่เสียงที่เลือกเรามาเท่านั้น แต่คือคนทั้งประเทศ ไม่ว่าพรรคไหนเข้ามาเป็นรัฐบาล นั่นคือเสียงจากคนทั้งประเทศ แต่คนที่เป็นฝ่ายค้าน ที่ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่จะไม่ดูแลเขาเลยหรือ เขาไม่ใช่คนไทยหรือ”

ดังนั้น อย่าให้ระบบประชาธิปไตยคัดกรองคนแบบนี้เข้ามา มาแบ่งแยกภาคเหนือ ภาคใต้ ตะวันออก และตะวันตก เป็นของคนนั้นคนนี้ ไม่ได้อีกแล้ว เพราะหากทำอย่างนั้นร่างกายเราก็จะสิ้นสภาพ และวันหน้าเทียบดูก็แล้วกันว่า สิ่งที่เขาพูดกับที่ผมพูดต่างกันหรือไม่ผมไม่ได้พูดให้ใคร แต่พูดให้ประชาชน และวันหน้าใครเป็นรัฐบาล ท่านก็คงอยากได้รัฐบาลดีๆ ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมดีที่สุด หรือรัฐบาลนี้ดีที่สุด เพียงแต่ผมคิดแบบนี้ ทุกเรื่องไม่มีผลประโยชน์”
จากนั้นนายกฯ เดินชมนิทรรศการของทางจังหวัด เมื่อมาถึงจุดการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสำหรับผู้มีรายได้น้อย นายกฯถามว่า อยากให้ช่วยอะไรไหม ชาวบ้านตอบว่า อยากให้ช่วยพยุงราคาข้าว นายกฯ จึงกล่าวว่า





 “จะพยุงได้อย่างไร เพราะตอนนี้รัฐบาลยังใช้หนี้ 5 แสนล้านบาท ให้กับโครงการรับจำนำข้าว และข้าวต้องมีราคากลาง จะให้ 15,000 บาท ทุกประเภทไม่ได้ อย่าให้ใครมาบอกว่าจะให้ราคาข้าว 15,000 ถึง 20,000 บาท มันผิดกฎหมาย ที่ผ่านมา รัฐบาลต้องแบกให้เท่าไร ใช้หนี้มา 4 ปีแล้ว จากที่ผลาญมาจากรอบที่แล้ว”

พร้อมกันนี้ นายกฯ ได้รับประทานข้าวกับน้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า ขนมจีนน้ำยา โดยบอกว่าอร่อยมาก ขอซื้อกลับบ้านทั้งหมด ก่อนชิมข้าวหมาก และน้ำมะนาวสด



จากนั้นนายกฯ สักการะสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยอธิบดีกรมศิลปากรได้มอบรูปหล่อจำลองสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และหนังสือนำชมพระนารายณ์ราชนิเวศ ให้แก่นายกรัฐมนตรี ก่อนเยี่ยมชมโครงการบำรุงรักษาและอนุรักษ์ต้นจัน อายุ 300 ปี


ข่าวจาก  ผู้จัดการออนไลน์

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

สรท.ปรับเป้าการส่งออกของไทยปี 61 เติบโตแตะ 9% พร้อมเผยสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือน ก.ค. ขยายตัว 8.3% โตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ดันส่งออก 7 เดือนมีมูลค่ารวมกว่า 146,235 ล้านเหรียญสหรัฐ 
06 ก.ย. 61 นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. (สภาผู้ส่งออก) เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์ส่งออกของไทยในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 20,424 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8.3% ขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงเป็นเดือนที่ 17 ขณะที่การส่งออกในรูปแบบเงินบาทอยู่ที่ 662,175 ล้านบาท ขยายตัว 4.1%  ส่วนการนำเข้ามีมูลค่าอยู่ที่ 20,940 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10.5% ขณะที่สถานการณ์การส่งออกในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 146,235.6 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 10.6% 
“การส่งออกในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.)ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องตามพื้นฐานเศรษฐกิจของคู่ค้า ประกอบกับค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมือเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ซึ่งจะช่วยให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการส่งออกของไทยยังคงมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ และความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันการค้าระหว่างประเทศอันจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานการค้าและภาคการค้าระหว่างประเทศในระยะต่อไป”นางสาวกัณญภัค กล่าว
สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทในเดือน ส.ค. มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าและผันผวนอยู่ในกรอบ 32.60-33.20 บาทต่อเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดย ณ วันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมาอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.88 บาทต่อเหรียญดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม สรท. ได้มีการปรับเป้าการส่งออกของไทย ในปี 2561 นี้ จะมีอัตราการขยายได้ที่ 9% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่กว่า 8% โดยมีเงื่อนไขในช่วงเวลาที่เหลือการส่งออกของไทยต้องมีค่าเฉลี่ยการส่งออกใน 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ เฉลี่ยการส่งออกต่อเดือนต้องอยู่ที่ 22,240 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยมีอัตราการขยายตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้ 

ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


"กบง." เห็นชอบดึงเงินกองทุนน้ำมันฯอุดหนุนราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรกรณีราคาน้ำมันดิบตลาดโลกไม่เกิน 80 เหรียญฯต่อบาร์เรลประเดิมพรุ่งนี้ 15 สต./ลิตรล็อตแรกหากตลาดโลกไม่เกินนี้คาดใช้เงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท พร้อมขยายวงเงินอุ้มแอลพีจีถัง 15 กก.ไว้ 363 บ.จนถึงสิ้นปีเพิ่มอีก 4,000 ล้านบาทเป็น 7,000ล้านบาท 



นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า กบง. ได้เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ออกประกาศนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในอัตราไม่เกิน 30 สตางค์ต่อลิตรกรณีที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับไม่เกิน 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรจนถึงสิ้นปีนี้ โดยจะนำร่องชดเชย 15 สตางค์ต่อลิตรเบื้องต้นมีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.เป็นต้นไป ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกอยู่ในระดับ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรลการตรึงราคาดังกล่าวจะใช้เงินกองทุนน้ำมันฯจนถึงสิ้นปีประมาณไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
" ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับผันผวนจึงต้องการส่งสัญญาณให้มีการตื่นตัว ติดตาราคาน้ำมันดิบตลาดโลกอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐต่ออิหร่านจะเริ่มมีผลในเดือนพ.ย.นี้ซึ่งหากที่สุดราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับขึ้นสูงกว่า 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลดีเซลขายปลีกจะต้องเกิน 30 บาทต่อลิตร ทางสนพ.จะเสนอมาตรการที่เหมาะสมในการนำเสนอมายังกบง.อีกครั้งหนึ่ง" นายศิริกล่าว
นอกจากนี้กระทรวงพลังานได้มีนโยบายส่งเสริมการจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซลเกรดพิเศษ บี 20 ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งตามจุดจอดรถ(Fleet ) ที่มีราคาจำหน่ายต่ำกว่าดีเซล 3 บาทต่อลิตรจึงต้องการให้ผู้ประกอบการขนส่งต่างๆ รวมถึงเรือโดยสารหันมาใช้บี 20 มากขึ้นซึ่งกระทรวงพลังงานมีเป้าหมายที่จะผลักดันการใช้วันละ 15 ล้านลิตรแต่ขณะนี้มีผู้มาใช้เพียง 3 ล้านลิตรเท่านั้น ทั้งนี้มาตรการที่เตรียมไว้ทั้งหมดจึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ประกอบการขนส่ง รถและเรือโดยสารสาธารณะจะไปปรับขึ้นค่าขนส่งหรือค่าบริการแต่อย่างใด
" หากพิจารณาจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นสูงแต่ด้วยความร่วมมือของผู้ค้าน้ำมันบางรายที่ได้ลดค่าการตลาดน้ำมันลงเหลือเพียง 1.26 บาทต่อลิตรจากปกติที่ควรจะเป็น 1.50 บาทต่อลิตร จึงทำให้ราคาขายปลีกดีเซลไม่ได้สูงเท่ากับราคาตลาดโลกนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา"นายศิริกล่าว
นอกจากนี้กบง. กบง. ได้เห็นชอบขยายกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำมาดูแลราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี)ขนาดถัง 15 กิโลกรัม(กก.) ที่ 363 บาทจนถึงสิ้นปีเป็น 7,000 ล้านบาทจากก่อนหน้านี้กบง.ได้อนุมัติกรอบวงเงินไว้แล้ว 3,000ล้านบาทแต่ด้วยราคาแอลพีจีตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้บัญชีแอลพีจีปัจจุบันติดลบ 3,337 ล้านบาท

" กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของบัญชีแอลพีจีมีเงินไหลออกสุทธิ 804 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้สถานะบัญชีแอลพีจีปัจจุบันติดลบ 3,337 ล้านบาท ขณะที่บัญชีน้ำมันไหลเข้า 26 ล้านบาทต่อเดือน จึงมีสถานะบัญชีน้ำมัน 29,359 ล้านบาท รวมสถานะกองทุนฯ ณ วันที่ 2 ก.ย.2561 มีฐานะสุทธิ 26,022 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยืนยันว่าด้วยมาตรการที่จะดูแลราคาดีเซลและแอลพีจีจะไม่กระทบฐานะกองทุนน้ำมันฯแต่อย่างใดเพราะฐานะโดยรวมยังแข็งแกร่ง"นายศิริกล่าว

ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

4 ก.ย.61-  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจว่า ขณะนี้เศรษฐกิจระดับบนอยู่ในระดับดีขึ้นโดยตลอด จากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ธนาคารและคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้วิเคราะห์ออกมา ซึ่งเราจะต้องไม่ลืมคนที่มีรายได้น้อยที่อยู่ข้างล่าง
นายกฯบอกว่าได้สั่งการให้ไปแก้ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ประชาชนมีความไม่สบายใจ ต้องไปดูว่ากฎหมายจะทำได้แค่ไหนอย่างไร ไม่ใช่ให้ใช้อำนาจหมดทุกอย่าง ซึ่งทำไปไม่ได้ในระบบการค้าเสรี ขอให้เข้าใจตรงนี้ 
สำหรับเศรษฐกิจต่างประเทศ ขณะนี้ต้องติดตามมาตรการการตอบโต้ทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย แคนาดา ที่ยังตกลงกันไม่ได้ในหลายประเด็น ซึ่งเราต้องรู้บ้าง เพื่อเตรียมมาตรการรองรับสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้เราจะยังไม่ได้รับผลกระทบ
ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


ม.หอการค้า แจงส่งออกโต-บาทแข็งหนุนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนส.ค.อยู่ที่ 83.2 สูงสุดในรอบ 64 เดือน พร้อมเตรียมปรับจีดีพีเพิ่ม

4ก.ย.61-นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และ ผู้อำนวยการ
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ส.ค. 61 อยู่ที่ 83.2 จาก 82.2 ในเดือนก.ค. 61 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องและอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 64 เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 70.2 จาก 69.1 ในเดือนก่อนหน้า

ทั้งนี้มีปัจจัยบวกมาจากการประกาศอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีในไตรมาสที่2/61 ที่เติบโต4.6%ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รวมถึงการคงดอกเบี้ยนโยบายที่1.5% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5%,  และการส่งออกเดือนก.ค.ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี, เงินบาทแข็งค่าขึ้น และ พืชผลทางการเกษตรหลายรายการเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามในไตรมาส4/61นี้ ทางศูนย์ เตรียมจะปรับประมาณการจีดีพีเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาดูปัจจัยลบทางด้าน ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับเพิ่มขึ้น และความรู้สึกของผู้ที่รู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและกระจุกตัว รวมถึงสถานหารณ์น้ำท่วม ทึ่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วม 

ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561 นายจรัญ พงษ์เผ่า ผอ.กลุ่มส่งเสริมสหกรณ์ 2 จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่าในวันนี้ 3 ก.ย.นายกฤษฏา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ มาเปิดโครงการคิกออฟการส่งเสริมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในพื้นที่หลังทำนาปี ของสหกรณ์ จ.พิษณุโลกและอุตรดิตถ์ เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตข้าวโพด ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ และช่วยเหลือให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคง โดยปรับเปลี่ยนที่นาปลูกพืชชนิดอื่น ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และสามารถแก้ไขปัญหาข้าวล้นตลาด รักษาเสถียรภาพราคาข้าวไม่ตกต่ำ หากพื้นที่นำร่อง 2 จังหวัดได้ผลดีจะเริ่มโครงการปลูกข้าวโพดฯ 2 ล้านไร่ ในเดือนพ.ย.นี้
สำหรับสหกรณ์พรหมพิราม เป็นสหกรณ์ชั้นเอ ระดับจังหวัด มีทุนดำเนินงาน 800 ล้านบาท ได้รับเงินสนับสนุนจากโครงการไทยนิยม ยั่งยืน 38 ล้านบาท ในการเพิ่มศักยภาพแปรรูปเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร สร้างตลาดสินค้าเกษตร เพื่อรองรับผลผลิตจากสมาชิกโดยให้ราคาสูงกว่าท้องตลาดตันละ 200 บาท รับซื้อข้าวกข.43 ข้าวพิษณุโลก2 และผลผลิตพืชหลังนา จากบางระกำโมเดล ซึ่งในอ.พรหมพิราม มี 8 ตำบล พื้นที่ 1.08 แสนไร่ ที่เป็นแก้มลิงรับน้ำหลากจากลุ่มน้ำยม เป็นที่พักน้ำไม่ไปกระทบลุ่มเจ้าพระยาและกรุงเทพ

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

วานนี้ (27 ส.ค.) กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ระบุว่า งบประมาณช่วยเหลือเกษตรกรภายใต้โรงการเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีจะอยู่ที่ 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท) และเป็นการชำระตรง
“สงครามการค้า” ที่สหรัฐฯ เป็นฝ่ายจุดชนวนขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองอย่างหนัก ดังนั้นงบประมาณเยียวยาวก้อนใหญ่ของรัฐบาลกลางจะจ่ายตรงเงินไปยังเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลือง โดยประมาณ 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ จีนเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ โดยเป็นผู้ซื้อถั่วเหลืองในอัตรา 60 เปอร์เซ็นต์ของถั่วเหลืองทั้งหมดที่สหรัฐฯ ส่งออก อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีความขัดแย้งทางการค้ากับจีน การส่งออกถั่วเหลืองจึงแทบจะหายไปจากตลาด
ในขณะเดียวกันทางรัฐบาลยังต้องมอบเงินช่วยเหลือให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวฟ่าง ข้าวโพด ข้าวสาลี และฝ้าย รวมถึงเกษตรกรที่เลี้ยงหมูและวัวนม
นอกจากการมอบเงินช่วยเหลือโดยตรงแล้ว โครงการเยียวยายังรวมถึงการที่รัฐบาลต้องซื้อสินค้าในตลาดซึ่งได้แก่เนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากนมวัวเป็นมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ โครงการเยียวยานี้จะเกิดขึ้นเป็นการชั่วคราวเพื่ออุดหนุนเกษตรกรให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในระหว่างที่สหรัฐฯ และจีนยังคงเจรจาในประเด็นดังกล่าวกันอยู่

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

ส่งออก ก.ค.พุ่ง 8.27% โตต่อเนื่อง 17 เดือนติด ส่วนยอดรวม 7 เดือนเพิ่ม 10.57% เผยตลาดส่งออกขยายตัวเกือบหมด ญี่ปุ่น อินเดีย อาเซียน CLMV โต 2 หลัก แต่สหรัฐฯ ลด 1.9% ติดลบครั้งแรกรอบ 21 เดือน เหตุเจอพิษขึ้นภาษี ทำเครื่องซักผ้า แผงโซลาร์เซลล์ เหล็กยอดวูบ ระบุเป้าปีนี้ 8% ทำได้แน่ ส่วนจะปรับตามหน่วยงานอื่นหรือไม่รอลุ้นเดือน ต.ค.นี้ 
นางสุรีย์พร สหวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือน ก.ค. 2561 มีมูลค่า 20,423.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.27% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2560 การนำเข้ามีมูลค่า 20,940.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.53% และกลับมาขาดดุลการค้า 516.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการส่งออกรวม 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่า 146,235.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.57% ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 ปี การนำเข้ามีมูลค่า 143,296.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.84% และเกินดุลการค้า 2,939.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออกในเดือน ก.ค. ตลาดหลักเพิ่มขึ้น 5.4% โดยญี่ปุ่นเพิ่ม 11.7% สหภาพยุโรปเพิ่ม 9% แต่สหรัฐฯ ลดลง 1.9% ติดลบครั้งแรกในรอบ 21 เดือน เพราะสินค้าหลายตัวส่งออกได้ลดลง เช่น กุ้ง ลด 62% จากการไม่มีวัตถุดิบ อาหารทะเลกระป๋อง ลด 23% โทรทัศน์ ลด 44% เครื่องใช้ไฟฟ้า ลด 9.1% เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน แผงโซลาร์เซลล์ ลด 72% เครื่องซักผ้า ลด 21.9% เหล็ก ลด 4.6% ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค. 2561 จะปรับตัวดีขึ้น เพราะการส่งออกคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน ซึ่งมีสัดส่วนถึง 20% ของสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ น่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น หลังจากเดือน ก.ค.ลดลง 0.6% และน่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง หลังจากมีการย้ายฐานการผลิตจากมาเลเซียกลับมายังไทย 
สำหรับตลาดศักยภาพ เพิ่มขึ้น 15.3% โดยส่วนใหญ่ขยายตัวในระดับ 2 หลัก เช่น อินเดีย เพิ่ม 15% อาเซียน 5 ประเทศ เพิ่ม 26.6% CLMV เพิ่ม 22.6% และจีน เพิ่ม 3.5% และตลาดศักยภาพระดับรองกลับมาขยายตัวเป็นบวก 3.1% จากที่หดตัวในเดือนก่อน โดยส่งออกไปทวีปแอฟริกา ทวีปออสเตรเลีย ละตินอเมริกา และกลุ่มประเทศ CIS เพิ่ม 1.9%, 2.3%, 13.6% และ 15.9% ตามลำดับ แต่ตะวันออกกลางลดลง 9.4%
นางสุรีย์พรกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่าการส่งออกในปี 2561 จะเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 8% โดยดูได้จากการส่งออกยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากการที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวชัดเจน เช่น สหรัฐฯ กลุ่มยูโรโซน จีน ญี่ปุ่น และอาเซียน สินค้าที่มีแนวโน้มส่งออกได้ดี เช่น สินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เช่น เคมีภัณฑ์และพลาสติก และการส่งออกยังได้รับผลดีจากเงินบาทอ่อนค่า ทำให้มีรายได้ในรูปเงินบาทสูงขึ้น
“แม้การส่งออกจะเผชิญความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในนโยบายการค้า และความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนที่อาจกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เพราะไทยได้มีการกระจายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ และตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ ทดแทน ซึ่งช่วยให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวได้ตามเป้า แต่ถ้าอยากผลักดันให้ส่งออกโตในระดับ 2 หลัก การส่งออกเดือนที่เหลือต้องทำได้มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนจะปรับเป้าส่งออกเหมือนหน่วยงานอื่นๆ หรือไม่ ต้องรอประเมินอีกครั้งในเดือน ต.ค.นี้” นางสุรีย์พรกล่าว


ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

“พาณิชย์”คาดส่งออกสินค้าเกษตรไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงสดใส เหตุตลาดมีความต้องการสินค้าไทยเพิ่มขึ้น ทั้งข้าว ไก่ ผลไม้ อาหารทะเล ส่วนยางพารา มันสำปะหลัง และน้ำตาลทราย มีแนวโน้มลดลง แต่เชื่อผลจากบาทอ่อน จะทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรมีรายได้สูงขึ้น
         
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามภาวะการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 พบว่าสินค้าหลายๆ รายการมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น จากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยมีสินค้าที่มีแนวโน้มส่งออกได้ดี ได้แก่ ข้าว ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป อาหารทะเลแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป
         
โดยข้าวครึ่งปีแรกส่งออกเพิ่ม 17.7% คาดว่าครึ่งปีหลังจะยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการนำเข้าของตลาดใหญ่ เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ โดยน่าจะส่งออกได้ตามเป้าหมาย 11 ล้านตัน
         
ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 12.1% คาดว่าครึ่งปีหลังการส่งออกยังคงขยายตัว เนื่องจากตลาดญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (อียู) ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับได้รับปัจจัยหนุนจากการได้รับใบอนุญาตให้ส่งออกไก่สดจากรัฐบาลจีน
         
ผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป ครึ่งปีแรกเพิ่ม 6.0% โดยเฉพาะตลาดจีน เพิ่ม 44.86% และเฉพาะทุเรียน เพิ่ม 45.2% เพิ่มในจีน 103.65% ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าการส่งออกจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะตลาดจีน ที่นิยมผลไม้ไทย แม้กระทั่งเวียดนามที่มักนำเอาผลไม้ไทยไปคัดบรรจุและติดตราสัญลักษณ์ของเวียดนามส่งออกไปยังจีน
         
อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ครึ่งปีแรก เพิ่ม 2.4% และมีโอกาสส่งออกเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะส่งออกไปจีนได้เพิ่มขึ้นจากการที่จีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ แต่กุ้งน่าจะส่งออกได้ลดลง เนื่องจากผู้นำเข้าหลักอย่างสหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากแหล่งอื่น เช่น เอกวาดอร์แทน และเวียดนามหันมาเลี้ยงแทนนำเข้า และมีกุ้งจากอินเดียเข้าไปตีตลาด
         
ส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มส่งออกลดลง ได้แก่ ยางพารา โดยครึ่งปีแรกลดลง 25.4% จากการส่งออกลดลงในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ และในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าการส่งออกจะยังคงหดตัว จากราคายางที่อาจปรับลดลง เนื่องจากอุปทานเพิ่มขึ้น และจีนมีการปลูกยางมากขึ้น และเริ่มปรับเพิ่มภาษีนำเข้ายากจากต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 17.2% จากความต้องการของตลาดจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซียและไต้หวันที่เพิ่มขึ้น แต่ครึ่งปีหลัง น่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดู ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย คาดว่าปริมาณส่งออกจะลดลง และน้ำตาลทราย ครึ่งปีแรกลดลง 13.8% และครึ่งปีหลังคาดว่าการส่งออกจะยังคงหดตัวจากราคาน้ำตาลทรายที่ปรับตัวลดลง ตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดจำนวนมาก
         
อย่างไรก็ตาม การส่งออกของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ลดลง และในระยะสั้น อาจต้องเผชิญความผันผวนจากมาตรการการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ แต่การส่งออกไทยที่มีลักษณะการกระจายตัวในตลาดใหม่มากขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบได้บ้าง และสถานการณ์ค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าจะเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกเร่งผลักดันส่งออกสินค้าและทำให้รายได้การส่งออกในรูปเงินบาทสูงขึ้น

ข่าวจาก CNA
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


สถาบันอัญมณีฯ เผยยอดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ 6 เดือนปี 61 มีมูลค่า 6,326.68 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.62% ตลาดอินเดียขยายตัวสูงสุด 26.22% ตามมาด้วยรัสเซียและ CIS อียู ตะวันออกกลางและสหรัฐฯ ชี้เฉพาะอียูและสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจน หลังเศรษฐกิจเติบโต
         
นางดวงกมล เจียมบุตร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือจีไอที เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 3 ของไทย รองจากยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และมีสัดส่วน 5.03% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด มีการส่งออกในช่วง 6 เดือนของปี 2561 (ม.ค.-มิ.ย.) มูลค่า 6,326.68 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.62% ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจคู่ค้า ทำให้มีความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น
         
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาการส่งออกเป็นรายสินค้า พบว่า เครื่องประดับทอง เพิ่ม 11.38% เครื่องประดับแพลทินัม เพิ่ม 0.23% เครื่องประดับเงิน ลดลง 0.22% ส่วนเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็ง และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้น 6.17% , 2.66% และ 10.57% ตามลำดับ


         
สำหรับตลาดส่งออกสำคัญ สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 15.47% และ 10.29% เพราะกำลังซื้อของทั้ง 2 ประเทศเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังอียู เป็นเครื่องประดับเงิน รองลงมาเป็นเครื่องประดับทอง ที่ต่างมีมูลค่าสูงขึ้น ส่วนสินค้าส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ เป็นเครื่องประดับเงิน ซึ่งกลับมาเติบโตเป็นบวกได้อีกครั้ง อีกทั้งการส่งออกเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเพชรเจียระไน ก็ส่งออกได้เพิ่มขึ้น ส่วนญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 4.05% มีสาเหตุมาจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ทำให้มีการซื้อเพิ่มขึ้น โดยเครื่องประดับทองและแพลทินัม เพิ่ม 9.15% และ 0.86%
         
ส่วนตลาดกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้น 15.33% ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งเป็นเครื่องประดับทองที่ขยายตัวดีในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย และคูเวต อินเดีย เพิ่ม 26.22% จากการส่งออกเพชรเจียระไนเพิ่มขึ้นถึง 33.53% โดยส่วนหนึ่งเป็นการส่งออกจากบริษัทอินเดียที่มาตั้งโรงงานในไทยส่งกลับไปยังบริษัทแม่เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกต่อต่างประเทศ อาเซียน เพิ่ม 6.91% จากการส่งออกไปสิงคโปร์เพิ่มสูงถึง 54.12% บรูไน เพิ่ม 3.42% เวียดนาม เพิ่ม 36.66% โดยสินค้าส่งออกหลักไปบรูไน เป็นเครื่องประดับทอง สินค้าส่งออกหลักไปเวียดนาม เป็นโลหะเงินและเพชรเจียระไน ส่วนรัสเซียและเครือรัชเอกราช เพิ่ม 25.98% เนื่องจากการส่งออกไปยังรัสเซีย ยูเครน และคาซัคสถาน เพิ่ม 63.56% , 13.63% และ 1.38% โดยสินค้าดาวเด่นเป็นเครื่องประดับเงิน ซึ่งเติบโตได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  
       
ขณะที่จีน เพิ่มขึ้น 0.92% โดยสินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่ม คือ พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้น 56.77% และ 1.43% แต่เครื่องประดับเงิน ที่เป็นสินค้าหลัก ลดลง 3.24% และตลาดฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทยมีสัดส่วนในการส่งออกสูงถึง 28% ลดลง 2.43% เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้ลดลง โดยเฉพาะสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน รวมถึงสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับทองและพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ลดลง 0.53% , 5.65% และ 2.66% ตามลำดับ แต่พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้น 17.16%  

ข่าวจาก CNA
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

การก่อสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในไทยถูกคัดค้านจากนักสิ่งแวดล้อมและชาวบ้านในชุมชนมากว่าสามทศวรรษ แต่ใน สปป. ลาว การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าคืออุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ โดยมี บริษัทไทยเป็นผู้ลงทุน ธนาคารไทยเป็นผู้สนับสนุนเงินทุน และกฟผ. เป็นผู้ซื้อหลัก

หากต่อไป คนไทยต้องใช้ไฟฟ้าแพงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ในเมื่อกฟผ. ที่เป็นเหมือนรัฐวิสาหกิจในการจัดการเรื่องใช้ไฟฟ้าต้องซื้อไฟฟ้าจากเอกชนโดยเฉพาะเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ




ภาพจาก บีบีซีไทย
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 5/2561 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษและยโสธร ว่า ครม.สัญจรมีมติเห็นชอบมีมติเห็นชอบโครงการที่การประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 เสนอ ราว 1 หมื่นล้านบาท ดังนี้ 1.การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ แบ่งออกเป็นการขยายถนนเป็น 4 ช่องทาง 12 สาย ได้แก่
1.ทางหลวงหมายเลข 2169 ยโสธร-เลิงนกทา 2.ทางหลวงหมายเลข 2083 และ 2351 มหาชนะชัย-ค้อวัง-ยางชุมน้อย 3.ทางหลวงหมายเลข 202 ตอนสะพานคลองลำเซ-ปทุมราชวงศา ระยะทาง 15 กม. และทางหลวงหมายเลข 202 ยโสธร-อำนาจเจริญ ระยะทาง 31.925 กม. 4.ถนนวงแหวนรอบเมืองอุบลฯ ฝั่งตะวันออก ทางหลวงหมายเลข 231
5.ทางหลวงหมายเลข 2178 วารินชำราบ-กันทรลักษ์ 6.ทางหลวงหมายเลข 292 ทางเลี่ยงเมืองยโสธร 7.ขยายผิวจราจรสาย อจ.3022 แยก ทล.212 บ้านพุทธอุทยาน จ.อำนาจเจริญ ระยะทาง 4.22 กม. 8.ศึกษาการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 6 อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี 9.ศึกษาการก่อสร้างถนนเชื่อมสนามบินอุบลราชธานี ระยะทาง 2.518 กม. 10.ทางหลวงหมายเลข 220 ตอนวังหิน-ขุขันธ์ 11.ทำเกาะกลางทางหลวงหมายเลข 2050 อุบลฯ-ตระการพืชผล และ 12.เร่งรัดถนนวงแหวนด้านทิศเหนือ จ.ศรีสะเกษ ระยะทาง 15 กม.
2.โครงข่ายคมนาคมทางอากาศ ได้แก่ เร่งรัดขยายสนามบินนานาชาติอุบลราชธานีให้เร็วขึ้น จากเดิมกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ประกอบด้วย 1.ลานจอดเครื่องบินเพื่อรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้น อาทิ รองรับเครื่องโบอิ้ง 737 จาก 5 ลำ เป็น 10 ลำ 2.สะพานเทียบพร้อมส่วนต่อเติม 2 ตัว 3.อาคารจอดรถยนต์ 4 ชั้น 4.ปรับปรุงต่อเติมร้านค้า 5.ปรับปรุงต่อเติมอาคารที่พักผู้โดยสาร 6.จุดตรวจรถยนต์และบุคคล และเร่งรัดศึกษาสนามบินมุกดาหารและสนามบินเลิงนกทาเพื่อลดความหนาแน่นของสนามบินอุบลราชธานี
3.โครงข่ายคมนาคมทางราง ได้แก่ 1.เร่งรัดศึกษาโครงการรถไฟทางคู่วารินชำราบ – ช่องเม็ก อุบลราชธานี 2.เร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการรถไฟจากสถานีวารินชำราบ – อำนาจเจริญ – เลิงนกทา เชื่อมโครงการรถไฟทางคู่บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม
4.การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จำนวน 40 โครงการ และเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย จำนวน 5 โครงการ แบ่งแอกเป็น แก้มลิง 20 โครงการ อาคารบังคับน้ำ 8 โครงการ ฝาย 3 โครงการ สูบน้ำด้วยโซลาร์เซลล์ 3 โครงการ ระบบส่งน้ำและกระจายน้ำ 2 โครงการ ประตูระบายน้ำ 4 โครงการ ระบบระบายน้ำและบริหารจัดการน้ำ 1 โครงการ
ขอให้ศึกษาความเหมาะสม 5 โครงการ ได้แก่ 1.ทางผันน้ำฝั่งขวาลำน้ำมูล จ.อุบลราชธานี 2.ลำน้ำยังและลำน้ำชีตอนล่าง (ร้อยเอ็ด-ยโสธร) 3.เพิ่มพื้นที่ชลประทานลำเซบาย 4.เพื่อพื้นที่ชลประทานลำเซบก และ 5.การก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมชุมชนยโสธร
5.การยกระดับการผลิต 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างโรงงานต้นแบบ (Pilot Plant) ด้านอาหารเพื่อแปรรูปสินค้าเกษตร 3 ประเภท คือ เนื้อสัตว์ เครื่องดื่มและเครื่องสำอาง 2.อาคารวิจัยและพัฒนาการแปรรูปสินค้าเกษตร 3.ยกระดับให้เป็นกลุ่มคลัสเตอร์ต้นแบบด้านเกษตรอินทรีย์
6.ด้านคุณภาพชีวิต 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการเพิ่มศักยภาพให้บริการของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 2.ขอรับการสนับสนุนและยกระดับศูนย์การแพทย์แผนไทย-พนาเป็นศูนย์การแพทย์ครบวงจรบริการคลินิกแพทย์แผนไทยและยกระดับเป็นศูนย์ศึกษาพัฒนาคุณภาพด้านการแพทย์แผนไทย 3.ขอรับการสนับสนุนครุภัณฑ์ในการพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดมและที่ดินของมณฑลทหารบกที่ 22 จำนวน 200 ไร่
7.ด้านการท่องเที่ยว ขอรับการสนับสนุนโครงข่ายคมนาคมทางถนนรองรับการท่องเที่ยว จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ 1.เส้นทางหลวง หมายเลข 217 วารินชำราย-ช่องเม็ก ทำเป็นเกาะกลางถนนตลอดสาย 2.เส้นทางหลวง หมายเลข 221 ตอน ศรีษะเกษ-ภูเงิน-กันทรลักษ์-เขาพระวิหาร 50 กม. ขยายเป็น 4 ช่องจราจรตลอดสาย 3.เส้นทาง 2112+2222 เขมราฐ-โขงเจียม-พิบูลย์มังสาหาร ขยายความกว้างถนนและไหล่ทางตลอดสาย
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสถานการณ์การค้าในเดือนมิถุนายน 2561
โดยมีมูลค่าการส่งออกรวม 2.1หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.19 % โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเดือนที่ 16 ทำให้ไตรมาส 2 ส่งออกไทยขยายตัว10.6 % และครึ่งปีแรก ขยายตัว 11% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 ปี

โดยเฉพาะตลาดสหรัฐมีการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยมีขยายตัว 6.9% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากไทยได้อานิสงค์จากการที่สหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 168 รายการ ที่มีผลบังคับใช้เดือนกรกฎาคม ทำให้ผู้นำเข้าหาแหล่งนำเข้าใหม่ล่วงหน้า โดยกลุ่มสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มเหล็กและผลิตภัณฑ์ เช่น ท่อเหล็ก เหล็กและเหล็กกล้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล ผลิตภันฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และข้าว 
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์มองว่าเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย ในการเร่งขยายตลาดสหรัฐ รวมทั้งตลาดจีนที่การส่งออกก็ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน การส่งออกไปจีนขยายตัว11.8% โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า เช่น เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก ผลไม้แช่แข็งและแห้ง รถยนต์และส่วนประกอบ พร้อมแนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จับตาการไหลเข้าของสินค้าในกลุ่มเหล็ก และการแอบอ้างถิ่นกำเนิดเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐ

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลัง ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวการนำเข้าของประเทศคู่ค้า และความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามการค้า แต่ทั้งนี้ยังมั่นใจว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ 8% อย่างแน่นอน โดยหากจะผลักดันให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวได้มากกว่า 9 % ช่วงที่เหลือจะต้องมีมูลค่าการส่งออกไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ในวันที่ 7 สิงหาคม กระทรวงพาณิชย์จะเชิญภาคเอกชนร่วมประเมินสถานการณ์ส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้

ข่าวจาก ฐานเศรษฐกิจ