Articles by "health"
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ health แสดงบทความทั้งหมด
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok



วันอังคาร (16 มิ.ย.) คณะกรรมการสุขภาพเทศบาลนครปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน รายงานว่าปักกิ่งตรวจพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ติดเชื้อภายในประเทศ เพิ่ม 27 ราย และผู้ป่วยไม่แสดงอาการเพิ่มอีก 3 ราย ในวันจันทร์ (15 มิ.ย.)


. คณะกรรมการระบุว่าปักกิ่งรายงานการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศที่ได้รับการยืนยันผลรวม 526 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีและออกจากโรงพยาบาลแล้ว 411 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 9 ราย เมื่อนับถึงวันจันทร์ (15 มิ.ย.) ขณะที่ยังเหลือผู้ป่วยที่ยังอยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล 106 ราย และผู้ป่วยไม่แสดงอาการที่ยังอยู่ภายใต้การสังเกตอาการทางการแพทย์อีก 10 ราย


. ขณะเดียวกัน ปักกิ่งมีรายงานผู้ป่วยที่มาจากต่างประเทศรวม 174 ราย โดยในจำนวนนี้ยังอยู่ระหว่างรักษาตัวอีกเพียง 1 ราย เมื่อนับถึงปัจจุบัน


. . (แฟ้มภาพซินหัว : เจ้าหน้าที่การแพทย์เก็บรวบรวมตัวอย่างสารคัดหลั่งจากลำคอเพื่อตรวจหาโควิด-19 ให้แก่ผู้อาศัยในเขตเฟิงไถของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2020)


ข่าวจาก ซินหัวนิวส์


'ปักกิ่ง' ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 27 ราย เหลือรักษาในรพ. กว่า 100 ราย . วันอังคาร (16 มิ.ย.) คณะกรรมการสุขภาพเทศบาลนครปักกิ่ง...

โพสต์โดย China Xinhua News เมื่อ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2020
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok



ทางการจีนยังคงปฏิบัติการอย่างฉับไวครอบคลุมเมื่อวันจันทร์ (15 มิ.ย.) เพื่อเร่งควบคุมการระบาด หลังพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเมืองหลวงปักกิ่ง เพิ่มขึ้นวันละเป็นหลักสิบต่อเนื่องกันหลายวัน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนเกาหลีใต้อาจเจอการระบาดระลอกใหม่ โดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มวันละ 800 คน หากไม่ใช้มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมเอย่างข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น


หลังจากไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศเป็นเวลาเกือบสองเดือน ในวันจันทร์ (15) เจ้าหน้าที่ปักกิ่ง แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 36 คน ซึ่งเชื่อมโยงกับการระบาดแบบกลุ่มก้อนในตลาดซินฟาตี้ ตลาดขายส่งขนาดยักษ์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง รวม 4 วันพบผู้ติดเชื้อในปักกิ่ง 79 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดนับจากเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศในวันจันทร์อยู่ที่ 49 คน


สีว์ อิง เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลปักกิ่ง แถลงว่า ความพยายามในการควบคุมการระบาด เปรียบเทียบได้กับการเข้าสู่โหมดในสมัยสงครามอย่างรวดเร็ว โดยมีย่านสายถนน 7,200 แห่ง และเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคระบาดเกือบ 100,000 คนเข้าสู่ “สนามรบ” แล้ว


การระบาดครั้งนี้มีที่มาจากตลาดซินฟาตี้ ที่มีกิจกรรมซื้อขายผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์วันละหลายพันตัน และมีขนาดใหญ่กว่าตลาดอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่นที่พบการระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วกว่า 20 เท่า


นอกจากนั้น ทางการแถลงว่า ยังพบการระบาดในตลาดขายส่ง อี้ว์ฉวนตง ในเขตไห่เตี้ยน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปักกิ่ง ซึ่งผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 1 คน มีความเชื่อมโยงกับตลาดซินฟาตี้ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สั่งล็อกดาวน์กลุ่มอาคารที่พักอาศัย 10 แห่งในบริเวณใกล้เคียง และปิดโรงเรียนในละแวกนั้น


การพบผู้ติดเชื้อระลอกใหม่กระตุ้นความกังวลว่า โควิด-19 กำลังกลับมาระบาดรอบสอง และทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่างๆ ของปักกิ่งต้องรื้อฟื้นมาตรการจำกัดเข้มงวดกลับมาใช้เพื่อควบคุมการระบาด ซึ่งรวมถึงการตั้งจุดตรวจตลอด 24 ชั่วโมง การปิดโรงเรียนและสนามกีฬา และการตรวจวัดอุณหภูมิตามห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และสำนักงาน


ชาวปักกิ่งยังได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัดและการกินอาหารร่วมกับคนจำนวนมาก


บางเขตถึงขั้นส่งเจ้าหน้าที่ไปตามอาคารที่พักอาศัยต่างๆ เพื่อค้นหาคนที่เคยไปตลาดซินฟาตี้ หรือเคยติดต่อกับคนที่เคยไปตลาดดังกล่าว


ปักกิ่งเริ่มการตรวจหาผู้ติดเชื้อในพื้นที่บริเวณนี้เมื่อวันอาทิตย์ (14) โดยมีประชาชนนับหมื่นเข้าคิวรอ และจากการตรวจประชาชนที่เคยไปตลาดซินฟาตี้เมื่อเร็วๆ นี้ จำนวน 8,950 คนจนถึงเช้าวันจันทร์ พบว่า 6,075 คนได้ผลออกมาเป็นลบ


องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงในวันอาทิตย์ว่า ได้รับแจ้งเรื่องการระบาดคราวนี้และการสอบสวนโครจากทางพวกเจ้าหน้าที่จีนแล้ว


“WHO เข้าใจว่า จะมีการเผยแพร่การจัดลำดับพันธุกรรม (ของไวรัสโคโรนานี้) โดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในทันทีที่การวิเคราะห์ทางห้องแล็ปเพิ่มเติมกระทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์” องค์การอนามัยโลกระบุในคำแถลง


ขณะที่สื่อรัฐของจีนรายงานในวันจันทร์โดยอ้างคำพูดของ เกา ฝู ผู้อำนวยการศูนย์กลางเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคของจีนที่กล่าวว่า จีนได้เสร็จสิ้นการศึกษาการจัดลำดับพันธุกรรมสำหรับไวรัสโคโรนาซึ่งพบในตัวอย่างต่างๆ ที่เก็บมาจากการระบาดล่าสุด และได้ข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็ตาม เกาไม่ได้ให้รายละเอียดมากกว่านี้


สื่อรัฐรายงานเพียงว่า เกากล่าวว่า ความพยายามในการติดตามต้นตอของไวรัสนี้ยังคงดำเนินอยู่


มีนักระบาดวิทยาผู้หนึ่งซึ่งทำงานกับรัฐบาลปักกิ่ง กล่าวในวันอาทิตย์ว่า การจัดลำดับดีเอ็นเอของไวรัสนี้ แสดงให้เห็นว่า การระบาดที่ซินฟาตี้ อาจจะมาจากยุโรป


รายงานข่าวบอกว่า ขณะนี้รัฐบาลท้องถิ่นในหลายๆ ส่วนของจีนได้เตือนประชาชนของพวกเขาว่าอย่าได้เดินทางไปปักกิ่งโดยไม่จำเป็น รวมทั้งประกาศว่าผู้มาเยือนซึ่งเดินทางจากปักกิ่งจะต้องถูกกักกันโรค


บางมณฑลขอให้ผู้ที่เพิ่งเดินทางมาจากพื้นที่ในปักกิ่งซึ่งถูกระบุว่ามีความเสี่ยงระดับสูงและระดับกลาง ต้องเข้ากักกันโรคเป็นเวลา 7 วัน ขณะที่เมืองใหญ่เมืองหนึ่งในมณฑลเฮยหลงเจียงกำหนดให้กักกันโรคถึง 3 สัปดาห์


สำหรับทางเทศบาลมหานครเซี่ยงไฮ้ และมณฑลอื่นๆ อีก 9 มณฑล เป็นต้นว่า หูเป่ย, กวางตุ้ง และ ไหหลำ ยังไม่ได้ประกาศบังคับกักกันโรคผู้มาเยือนซี่งมาจากปักกิ่ง ตลอดจนชาวมณฑลของตนที่กลับจากเมืองหลวง ถึงแม้มีการกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดแตกต่างกันออกไป




ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


ผลวิจัยชี้ว่าอาการ 'โมโหหิว' หรือหงุดหงิดเพราะไม่ได้รับประทานอาหาร ไม่ได้เป็นเพราะคิดไปเอง แต่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่งผลให้เกิดความเครียด-อารมณ์แปรปรวน
คณะนักวิจัยในแคนาดาเผยแพร่งานวิจัยลงในวารสารด้านจิตวิทยา Psychopharmacology เมื่อวันที่ 28 ก.ย. โดยระบุว่า ผู้ที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารและรู้สึกหิว เกิดจากร่างกายมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่งผลกระทบทางอารมณ์และก่อให้เกิดความเครียด พร้อมระบุว่า 'โมโหหิว' เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการทำงานของระบบภายในร่างกาย ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์ฟรานเซสโก เลรี แห่งมหาวิทยาลัยเกวลฟ์ในแคนาดา เปิดเผยว่าคณะนักวิจัยได้พิสูจน์สมมติฐานด้วยการฉีดสารต่อต้านการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสให้แก่หนูทดลอง ทำให้หนูเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ใกล้เคียงกับภาวะที่ร่างกายต้องการอาหาร หรืออาการหิว และพบว่าหนูทดลองมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง ส่วนผลตรวจเลือดหลังจากนั้นยังพบว่า หนูทดลองที่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มีฮอร์โมน 'คอร์ติซอล' ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเครียด 'สูงกว่าปกติ' แต่เมื่อฉีดน้ำเปล่าและยาคลายเครียดให้ พบว่าหนูทดลองมีอาการสงบมากขึ้น
ที่ผ่านมา งานวิจัยจำนวนมากตั้งข้อสันนิษฐานว่าภาวะเครียดและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นอาการทางจิตใจ และขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมรอบตัว แต่การทดลองในครั้งนี้กลับบ่งชี้ว่าภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งเกิดจากการทำงานของระบบในร่างกาย ส่งผลให้คนมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่แตกต่างจากปกติได้ เช่น บางรายอาจหงุดหงิดหรือโมโห แต่บางรายอาจรู้สึกหมดแรงและขี้เกียจ 
นอกจากนี้ เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ merriam-webster ซึ่งเป็นบริษัทจัดทำพจนานุกรมภาษาอังกฤษรายใหญ่ของโลกได้เพิ่มคำศัพท์ hangry ลงไปในพจนานุกรมที่จะพิมพ์จำหน่ายในปีต่อไป โดยให้คำนิยามว่าเป็นการโมโหหิว หรือหงุดหงิดเพราะหิว ซึ่งเกิดจากการผสมกันระหว่างคำว่า hungry (หิว) และ angry (โกรธ)

ข่าวจาก ว้อยส์ทีวี
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


จากกรณีที่ นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ออกมาเปิดเผยว่า กรมอนามัยโลกได้เผยแพร่ข้อมูลการฆ่าตัวตายของประเทศไทยว่าสูงถึง 16 คนต่อประชากรแสนคน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 60-64 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายมากถึง 9-10 คนต่อประชากรแสนคนนั้น

    นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า สถานการณ์ผู้สูงอายุฆ่าตัวตายมีการพูดคุยกันอยู่ตลอด ผส.เห็นความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอันดับ 1 เพราะไม่ใช่ดูแลเพียงแค่ร่างกาย แต่ต้องดูแลทางด้านจิตใจด้วย ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 16.5 หรือประมาณ 10.8 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน โดยประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2548 โดยเป็นผู้สูงอายุที่ยังไปไหนมาไหนได้ หรือผู้สูงอายุติดสังคม ร้อยละ 78 หรือ 8 ล้านคน ผู้สูงอายุติดบ้าน 2 ล้านคน และผู้สูงอายุติดเตียง 200,000 คน


    “จากตัวเลขผู้สูงอายุ 2 ล้านคนที่อยู่ติดบ้าน เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นโรคซึมเศร้าและตัดสินใจฆ่าตัวตาย ซึ่ง ผส.ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำ เช่น โรงเรียนผู้สูงอายุ สถานที่ให้ผู้สูงวัยมาพบปะทำกิจกรรมร่วมกัน โดยจัดให้มีการอบรมด้านต่างๆ ทั้งสุขภาพ การดูแลตัวเอง เศรษฐกิจและวิชาชีพ กระทั่งผู้สูงอายุบางคนต่อยอดเป็นวิสาหกิจชุมชน หรือโอท็อปได้” นางธนาภรณ์กล่าว และว่า

 
    พม.ยังได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) เพื่อการส่งเสริม การดูแล และการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเมื่อปี 2557 ก่อตั้งในทุกอำเภอ 878 แห่ง และปี 2561 ก่อตั้งอีก 400 แห่ง ปัจจุบันมี 1,200 แห่ง จากกิจกรรมดังกล่าว สามารถดึงผู้สูงอายุให้ออกมาทำกิจกรรมข้างนอกได้ รวมทั้งยังดึงผู้สูงอายุติดบ้านที่เป็นกลุ่มเสี่ยงออกมานอกบ้านได้อีกด้วย


    “สำหรับผู้สูงอายุติดเตียง ปัจจุบันกรมอนามัยได้จัดให้นักบริบาลชุมชน หรือแคร์กิฟเวอร์ เข้าไปดูแลตามชุมชนต่างๆ รวมถึงยังมีกลุ่มอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน (อผส.) 5,000 คนทั่วประเทศ เข้าไปดูแลด้วย แต่หลังจากนี้จะมีการกระจายลงไปสู่ท้องถิ่นด้วย นอกจากนี้ พม.ได้นำร่องทำธนาคารเวลา 44 แห่ง ทั้ง อบต. และเทศบาล สำหรับกลุ่มอาสาสมัครลงไปดูแลผู้สูงอายุติดบ้าน ซึ่งผู้ที่ลงไปให้บริการจะได้แต้มสะสมเพื่อนำมาใช้เมื่ออายุมากขึ้น ก็จะมีผู้มาดูแลตามจำนวนแต้มที่เก็บไว้ โดยจะประเมินผลการดำเนินงานในตุลาคมนี้” 


    นางธนาภรณ์ยังกล่าวอีกว่า เพื่อความยั่งยืน พม.ให้ความสำคัญกับเรื่องอาชีพ ทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุมีอาชีพ ซึ่งเบี้ยยังชีพและเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นเพื่อให้ผู้สูงอายุพออยู่ได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องพัฒนาผู้สูงอายุให้มีอาชีพเพื่อให้เกิดความยั่งยืนไม่เป็นภาระของลูกหลานและสังคม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลผู้สูงอายุทั้งประเทศ จัดทำเป็นบิ๊กดาด้า หากทำเสร็จแล้วจะทำให้รัฐมองเห็นภาพรวมของปัญหา สามารถแก้ไขได้ตรงจุด อีกทั้งกำลังเสนอ ครม.ให้เรื่องผู้สูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ คาดว่าภายในปีนี้จะผลักดันสำเร็จ และหากประกาศเป็นวาระแห่งชาติแล้ว จะทำแผนผู้สูงอายุ 20 ปี ฉบับที่ 3 ปี 2565-2585.


ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ประเมินว่า ญี่ปุ่นต้องขึ้นภาษีผู้บริโภค หรือภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% รวมทั้งปฏิรูประบบประกันสุขภาพและระบบบำนาญ เพื่อรับมือสังคมผู้สูงอายุที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลสำหรับสวัสดิการสังคม

นายพอล คาชิน หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของ IMF ที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นระบุว่า ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงมากถึงเกือบ 2 เท่าตัวขอ GDP และยังเผชิญกับภาวะที่ประชากรมากกว่า 1 ใน 4 เป็นผู้สูงอายุ ทำให้รัฐบาลมีความเสี่ยงสูงด้านภาระงบประมาณ 
IMF แนะนำให้ญี่ปุ่นทยอยขึ้นภาษีผู้บริโภคระหว่างร้อยละ 0.5 ถึง 1 แต่ก็ย้ำด้วยว่าการขึ้นภาษีเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม โดยต้องมีการปฏิรูประบบสวัสดิการด้วย





ตัวเลขภาษี 15% นี้สอดคล้องกับการประเมินขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ที่เคยระบุกับรัฐบาลญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การขึ้นภาษีถึงระดับนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในสภาวะทางเศรษฐกิจอันซบเซาของญี่ปุ่นในขณะนี้
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ขึ้นภาษีผู้บริโภคเป็น 8% ในปี 2014 และรัฐบาลของนายกฯชินโซ อะเบะมีแผนที่จะขึ้นภาษีเป็น 10% ในปี 2017 แต่ได้เลื่อนออกไปเป็นปี 2019 เพราะเกรงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะยกเว้นการขึ้นภาษีสำหรับสินค้าบางอย่าง เช่น อาหารสด และของใช้จำเป็น แต่ทาง IMF ไม่เห็นด้วย โดยระบุว่าควรขึ้นภาษีทั้งหมดเป็นแบบแผนเดียวกัน


IMF ยังเน้นว่าญี่ปุ่นต้องลดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการด้วย เช่น ขยายอายุในการสะสมเงินบำนาญ หรือในผู้ป่วยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น จากปัจุบันที่ผู้ป่วยรับภาระราวร้อยละ 30 ของค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่สรุปแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องนี้.





ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าโรคเยื่อบุตาอักเสบ หรือโรคตาแดง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ติดเชื้อ ภูมิแพ้ ถูกสารเคมี โดยชนิดที่พบได้บ่อยและติดต่อกันได้ง่ายมาก คือ โรคเยื่อบุตาอักเสบจากเชื้อไวรัส อดีโนไวรัส รองลงมาคือ เฮอร์ปีสไวรัส เอนเทอโรไวรัส และคอกแซกกี ติดต่อทางน้ำตา ผ่านทางการสัมผัสโดยตรงจากมือหรือเครื่องใช้ และไปสัมผัสตาของอีกคน ไม่ติดต่อทางการมองหรือทางอากาศ หรือรับประทานอาหารร่วมกัน
นอกจากนี้ อาจป่วยจากการถูกน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตาซึ่งโรคนี้พบบ่อยในช่วงฤดูฝน มักเกิดการระบาดในชุมชนที่มีคนอยู่ร่วมกัน เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานที่ทำงาน สระว่ายน้ำ สำหรับสถานการณ์โรคตาแดงของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 19 สิงหาคม 2561 พบผู้ป่วย 59,751 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ ช่วงอายุ 45-54 ปี โรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ จะใช้การรักษาตามอาการหรือหยอดตา เพื่อลดอาการระคายเคือง เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายรุนแรง แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มป่วย อาจมีการลุกลามหากรู้สึกมีอาการเคืองตา มีขี้ตามากกว่าปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว


ทั้งนี้ ประชาชนสามารถป้องกันโรคตาแดงด้วยการหมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดก่อนเอามือสัมผัสหรือขยี้ตา ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับคนที่เป็นตาแดง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ล้างมือหลังสัมผัสผู้ป่วย ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย ไม่ใช้มือแคะ แกะ เกาหน้าตา ถ้ามีฝุ่นละออง หรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที อย่าปล่อยให้แมลงหวี่ หรือแมลงวันตอมตา นอกจากนี้ควรหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าเช็ดหน้า ให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ใช้สิ่งของเหล่านี้ร่วมกับผู้อื่น รวมถึงหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในช่วงที่มีโรคตาแดงระบาด สำหรับผู้ป่วยโรคตาแดงสิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรพบแพทย์ หยุดเรียน หรือหยุดงานรักษาตัวอยู่ที่บ้านอย่างน้อย 3 วัน เพื่อไม่ให้โรคตาแดงลุกลามหรือติดต่อสู่คนอื่น หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


คู่รักชาวจีนคู่หนึ่งอยากมีลูกใจจะขาด พยายามอยู่นานแต่ฝ่ายภรรยาก็ไม่ตั้งครรภ์เสียที สุดท้ายแล้วเพิ่งมาทราบความจริงว่าพวกเขามีเพศสัมพันธ์กันผิดๆ มานานเกือบ 4 ปี หลังผลตรวจทางการแพทย์พบว่าเยื่อพรหมจารีของฝ่ายหญิงยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์
สองสามีภรรยาซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ อายุ 26 และ 24 ปี จากเมืองปี้เจี๋ย มณฑลกุ้ยโจว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เดินทางไปขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หลังฝ่ายภรรยาไม่ยอมตั้งครรภ์เสียที แม้ว่าพวกเขามีเพศสัมพันธ์กันเป็นประจำ
ผู้หญิงคนดังกล่าวให้ข้อมูลกับคณะแพทย์ว่าเธอรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งตอนมีเพศสัมพันธ์ และพอผลตรวจออกมากทำเอาพวกหมอนั้นถึงกับพากันตกตะลึง เมื่อพบว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่ 
สูตินรีแพทย์ หลิว หงเหมย กล่าวว่า “สามีภรรยาคู่นี้ยังเป็นคนหนุ่มสาวอยู่ ผู้ชายอายุ 26 ปี และผู้หญิงอายุ 24 ปี พวกเขาแข็งแรงมาก แต่แม้แต่งงานมา 4 ปีแล้ว แต่ก็ไม่ตั้งครรภ์ ครอบครัวกดดันทำให้พวกเขาเครียดมาก”
หลิว เผยว่า ทั้งสองมีเพศสัมพันธ์กันเป็นประจำ และฝ่ายภรรยาให้ข้อมูลว่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่ปกติในทุกครั้ง แต่ก็กัดฟันทนด้วยความหวังว่าจะตั้งครรภ์
เบื้องต้นจากอาการต่างๆ ของฝ่ายหญิง ทำให้สูตินรีแพทย์หลิว สันนิษฐานว่าเธออาจเป็นโรคอวัยวะสืบพันธุ์สตรีบางอย่าง แต่ต่อมาถึงกับช็อกเมื่อผลตรวจร่างกายเผยให้เห็นว่าเยื่อพรหมจารีของภรรยารายนี้ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์
จากประสบการณ์ของสูตินรีแพทย์ หลิว ทำให้เธอหันไปตรวจทวารหนักของผู้หญิงคนดังกล่าว และทำให้ทราบว่าสามีภรรยาคู่นี้มีเพศสัมพันธ์กันทางทวารหนักมานานกว่า 4 ปี และมันคือเหตุผลว่าทำไมฝ่ายหญิงถึงไม่ตั้งครรภ์
สูตินรีแพทย์หลิว ได้มอบหนังสือคู่มือด้านเพศศึกษาให้แก่ทั้งสองคน พร้อมกับให้คำแนะนำก่อนอนุญาตให้กลับบ้านได้
ดูเหมือนว่าคำแนะนำของแพทย์จะได้ผล เพราะไม่กี่เดือนต่อมาก็มีข่าวว่าภรรยารายดังกล่าวตั้งครรภ์แล้ว และคู่รักคู่นี้ได้ส่งของขวัญเป็นไข่ 100 ใบ และแม่ไก่ 1 ตัว มาให้กับทางโรงพยาบาล
หลิวกล่าวว่า “แต่งงานมา 4 ปี แต่ทั้งสามีและภรรยาไม่รู้ถึงวิธีที่ทำให้ตั้งครรภ์ คู่รักที่ขาดความรู้เรื่องทั่วๆ ไปแบบนี้หากได้ยากมาก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนักที่ผู้คนจะขาดความรู้ความเข้าใจหรือเข้าใจแบบผิดๆ ในเรื่องเพศสัมพันธ์”



ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

ชมภาพภายในร้าน “KPRO” ร้านขายอาหารจานด่วนสำหรับคนรักสุขภาพของ “KFC” ซึ่งเปิดตัวเป็นสาขาแรกในกรุงปักกิ่ง ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (13 ก.ค.) โดยเมนูในร้านอาหารแห่งนี้จะมีตั้งแต่สลัด แซนด์วิชพานินี แซลมอนรมควัน และไก่ย่าง (ไม่มีไก่ทอด) รวมถึงน้ำผลไม้สดและกาแฟรสเลิศ นอกจากนี้ยังบริการรับชำระเงินโดยไม่ต้องใช้เงินสด แต่ใช้ “รอยยิ้ม” หรือที่เรียกว่าบริการ "Smile to Pay" ที่ใช้เทคโนโลยีสแกนใบหน้าของผู้มาใช้บริการเพื่อจ่ายเงินอีกด้วย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของร้านอาหารสุขภาพดีแห่งนี้ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว





ข่าวจาก สำนักข่าวซินหัว
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

แม้จะทราบกันดีว่าแสงสีฟ้า (Blue light) จากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่งผลเสียต่อสายตาของคนเราได้ แต่ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น โดยพวกเขาชี้ว่าสารเคมีสำคัญในดวงตาทำปฏิกิริยากับแสงสีฟ้าจนเกิดเป็นสารพิษทำลายจอตาขึ้น
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโทเลโดของสหรัฐฯ ตีพิมพ์ผลการศึกษาดังกล่าวลงในวารสาร Scientific Reports โดยระบุว่าการจ้องมองแสงสีฟ้าซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นและมีพลังงานสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ดวงตาสร้างสารพิษขึ้นในเซลล์รับแสง จนเกิดอาการจอประสาทตาเสื่อมได้เร็วก่อนวัยอันควร
ผศ.ดร. อจิต กรุณารัตเน ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า "ในแต่ละวันดวงตาได้รับแสงสีฟ้าจากหน้าจอต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่กระจกตาและเลนส์ตาของเราไม่สามารถจะป้องกันหรือสะท้อนแสงสีฟ้าออกไปได้"
ด้วยเหตุนี้ สารเคมีช่วยการมองเห็นในจอตาที่เรียกว่าเรตินอล (Retinal) จึงทำปฏิกิริยากับแสงสีฟ้า ทำให้เกิดโมเลกุลมีพิษทำลายเยื่อหุ้มเซลล์รับแสงจนเซลล์ตายลงในที่สุด ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรเพราะจอตาไม่สามารถส่งสัญญาณสื่อประสาทไปยังสมองได้

นักวิจัยยังได้ทดลองฉายแสงสีฟ้าไปยังเซลล์ชนิดอื่น ๆ ที่มีสารเรตินอลอยู่ เช่นเซลล์หัวใจ เซลล์ประสาท หรือแม้แต่เซลล์มะเร็ง พบว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทำให้เซลล์ทุกชนิดตายลงได้ทั้งหมด
โรคจอตาเสื่อมหรือจอประสาทตาเสื่อม (Macular degeneration ) เป็นสาเหตุราวครึ่งหนึ่งของกรณีสูญเสียการมองเห็นที่พบทั้งหมด โดยส่วนใหญ่พบในผู้สูงวัยอายุ 50-70 ปีมากที่สุด
แม้โรคนี้จะไม่ทำให้ตาบอดสนิท แต่ก็สร้างปัญหาในการอ่านและการแยกแยะใบหน้าบุคคลอย่างมาก ทั้งยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลในปัจจุบัน
"เราหวังว่าการค้นพบในครั้งนี้ จะนำไปสู่การคิดค้นวิธีรักษาหรือวิธีชะลอการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้สำเร็จ เช่นอาจจะมีการคิดค้นยาหยอดตาชนิดใหม่ที่ยับยั้งการเกิดสารพิษในดวงตาได้" ผศ.ดร.กรุณารัตเน กล่าว
ทีมผู้วิจัยยังแนะนำให้คนทั่วไปปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้า ด้วยการสวมแว่นกันแดดที่ป้องกันได้ทั้งรังสียูวีและแสงสีฟ้าเมื่ออยู่กลางแจ้ง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการจ้องมองจอโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ในที่มืด

ข่าวจาก บีบีซีไทย
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

การนอนแบบกินบ้านกินเมืองเป็นประจำ โดยหลับเกินคืนละ 8 ชั่วโมงตามคำแนะนำของแพทย์ อาจชี้ถึงความเสี่ยงที่บุคคลผู้นั้น มีโอกาสจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงกว่าผู้อื่น เนื่องมาจากโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) และโรคเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคีล (Keele University) ของสหราชอาณาจักร ตีพิมพ์ผลการศึกษาข้างต้นลงในวารสารของสมาคมหัวใจอเมริกัน (Journal of the American Heart Association) โดยชี้ว่ารูปแบบการนอนที่ยาวนานผิดปกติในแต่ละคืน อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่ควรเฝ้าระวัง โดยแพทย์อาจต้องซักถามเรื่องชั่วโมงการนอนของคนไข้เอาไว้ประกอบการวินิจฉัยโรคด้วย
ผลการศึกษาดังกล่าวมาจากการวิเคราะห์งานวิจัยในอดีต 74 ชิ้น ซึ่งครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างกว่า 3 ล้านคน ทำให้พบว่าในจำนวนนี้ผู้ที่นอนหลับ นานถึงคืนละ 10 ชั่วโมง มีแนวโน้มจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากกว่าผู้ที่นอนคืนละ 8 ชั่วโมงถึง 30%
ส่วนคนที่นอนหลับคืนละกว่า 10 ชั่วโมงขึ้นไป มีโอกาสจะเสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกสูงกว่าถึง 56% และมีความเสี่ยงจะเสียชีวิต จากโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าคนทั่วไปถึง 49%
นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่าการนอนหลับไม่สนิทมีส่วนสัมพันธ์กับแนวโน้มที่จะเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Heart Disease ) สูงขึ้นถึง 44% ด้วย
ดร. ชุน ชิง กวอก ผู้นำทีมวิจัยกล่าวว่า "นอกจากปัจจัยเรื่องสุขภาพร่างกายแล้ว รูปแบบการนอนหลับของคนเรายังขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม จิตวิทยา สิ่งแวดล้อม ความจำเป็นในการทำงาน หรือพฤติกรรมของแต่ละคนด้วย ซึ่งอาจต้องนำมาพิจารณาเพิ่มเติมว่าเกี่ยวข้องกับรูปแบบการนอนหลับ ที่ผิดปกติหรือไม่"

ข่าวจาก บีบีซีไทย

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวรณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และสัปดาห์นมแม่โลก ภายใต้แนวคิด         “นมแม่รากฐานแห่งชีวิต” ณ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร กระทรวงสาธารณสุข ว่า ในสัปดาห์นมแม่โลก            หรือ World Breastfeeding Week ที่นานาประเทศได้ร่วมกันกำหนดไว้ในวันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปี ซึ่งปีนี้กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่าย ได้ร่วมกันรณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ภายใต้คำขวัญ นมแม่คือรากฐานแห่งชีวิตBreastfeeding : Foundation of Life โดยมีนโยบายที่จะส่งเสริม สนับสนุน และปกป้องให้เด็ก  ทุกคนได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ กินนมแม่ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด      กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และกินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่อาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปี   หรือนานกว่านั้นหรือตามสูตร 1-6-2 ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ในปี 2559 พบว่า มีทารกไทยเพียงร้อยละ 40 ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และเพียงร้อยละ 23 ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก     ของชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น มีทารกเพียงร้อยละ 13 ที่ได้กินนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่าย   จึงได้ตั้งเป้าหมายในปี 2568 ให้ทารกอย่างน้อยร้อยละ 50 ได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน สอดคล้องตามเป้าหมายของทุกประเทศทั่วโลก


  การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นเป็นเรื่องของ  วิถีชีวิตเกี่ยวพันกับทุกคน ทุกองค์กร การเฉลิมฉลองสัปดาห์นมแม่โลกในปีนี้ มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการสื่อสารไปถึง  ทุกคนในสังคมให้ตระหนักในความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เร่งให้ลงมือทำ โดยร่วมมือกันสร้างสิ่งแวดล้อม  ที่เป็นมิตรกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และวางจุดยืนว่าเด็กทุกคนจะมีโอกาสได้วางรากฐานแห่งชีวิตด้วยการได้กิน  นมแม่อย่างเหมาะสม โดยกรมอนามัยเห็นว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้ทุกการเกิดนั้นเจริญเติบโตต่อไปอย่างมีคุณภาพตลอดทั้งชีวิต การดำเนินงานประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ การปกป้อง ส่งเสริมและ สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การปกป้อง คือการบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 หรือ พ.ร.บ. นมผง เพื่อปกป้องสิทธิและสุขภาพของเด็กทุกคนไม่ให้เสียโอกาสในการกินนมแม่ ผ่านการควบคุมวิธีการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก การส่งเสริม คือ    การจัดระบบบริการสุขภาพ ที่สร้างความรอบรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่หญิงตั้งครรภ์และครอบครัว ตั้งแต่ฝากครรภ์ ต่อเนื่องถึงการจัดบริการห้องคลอดคุณภาพและการดูแลหลังคลอดที่ช่วยแม่ให้เริ่มให้นมลูกได้เร็วและ  ตามต้องการ เชื่อมโยงถึงชุมชนที่มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเกือบ 1 ล้านคน คอยให้คำปรึกษา     อย่างใกล้ชิดที่บ้าน ส่วนการสนับสนุน คือการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยช่วยเหลือให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้         โดยในระบบบริการสุขภาพมีการจัดตั้งคลินิกนมแม่เพื่อช่วยแก้ปัญหาและให้คำปรึกษาอย่างครบวงจรใน         สถานประกอบกิจการสำหรับแม่ทำงานมีการผลักดันการจัดตั้งมุมนมแม่ และการสร้างความรอบรู้ให้แก่แม่ ครอบครัวและชุมชน



ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันชี้ว่า จิ้งหรีดคือหนึ่งในแมลงที่นับเป็นสุดยอดอาหารหรือซูเปอร์ฟูดส์ (Super foods) อย่างแท้จริง โดยผลการวิจัยล่าสุดพบว่าการกินจิ้งหรีดช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้เติบโตเพิ่มจำนวนขึ้น ลดการอักเสบในร่างกาย และไม่เป็นอันตรายแม้กินเข้าไปในปริมาณมาก
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ของสหรัฐฯ ตีพิมพ์เผยแพร่รายงานดังกล่าวในวารสาร Scientific Reports โดยชี้ว่าจิ้งหรีดเป็นอาหารแนวใหม่ที่มีคุณประโยชน์ต่อมนุษย์มากกว่าที่เคยคาดกันเอาไว้ โดยนอกจากจะมีโปรตีนสูงและมีสารอาหารอื่น ๆ แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างให้สุขภาพร่างกายโดยรวมแข็งแรงขึ้น
มีการทดลองนำร่องในกลุ่มจำกัดเพื่อทดสอบว่าเส้นใยอาหาร (ไฟเบอร์) จากจิ้งหรีด เช่นเส้นใยอาหารที่เรียกว่าไคติน (Chitin) จะมีประโยชน์ต่อจุลชีพในร่างกายมนุษย์เป็นพิเศษหรือไม่ เพราะไฟเบอร์จากแมลงนั้นแตกต่างกับของพืชผักผลไม้โดยทั่วไปมาก แม้จะเป็นอาหารของจุลชีพในลำไส้เหมือนกันก็ตาม
ทีมผู้วิจัยให้ชายและหญิงสุขภาพดีอายุระหว่าง 18-48 ปี จำนวน 20 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารเช้าตามปกติ แต่อีกกลุ่มจะได้รับจิ้งหรีดแห้งบดเป็นผง 25 กรัมผสมไปกับขนมและเครื่องดื่มด้วย แล้วให้ทั้งสองกลุ่มรับประทานอาหารแบบนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์
จากนั้นผู้วิจัยให้อาสาสมัครทั้งหมดงดรับประทานจิ้งหรีดอย่างสิ้นเชิงตลอด 2 สัปดาห์ถัดมา แล้วจึงสลับให้กลุ่มที่ไม่ได้กินจิ้งหรีดในตอนแรกเป็นฝ่ายได้รับประทานบ้างอีก 2 สัปดาห์ โดยมีการวิเคราะห์ตัวอย่างเลือด อุจจาระ และคำตอบในแบบสอบถามเรื่องระบบทางเดินอาหารของอาสาสมัครในการทดลองทุกระยะ
ผลที่ได้พบว่า อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มมีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญและส่งผลดีต่อสุขภาพของระบบทางเดินอาหารเพิ่มขึ้น ส่วนโปรตีนในเลือดชื่อ TNF-alpha ซึ่งสัมพันธ์กับการอักเสบ การก่อมะเร็ง และภาวะซึมเศร้านั้นกลับลดลง และที่สำคัญพบว่าจำนวนของแบคทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ในลำไส้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งการแพทย์สมัยใหม่ถือว่าจุลชีพเหล่านี้มีบทบาทส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพร่างกายโดยรวมอย่างยิ่ง
ปัจจุบันมีประชากรโลกถึงราว 2,000 ล้านคนที่บริโภคแมลงเป็นประจำ ส่วนผู้คนในโลกตะวันตกต่างให้ความสนใจรับประทานแมลงเป็นอาหารกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการทำฟาร์มปศุสัตว์ ทั้งยังอุดมไปด้วยไขมันชนิดดี วิตามิน และแร่ธาตุ มากกว่าหมูหรือเนื้อวัวซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายหากรับประทานในปริมาณมากเกินไป

ข่าวจาก บีบีซี
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

           ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver) หมายถึง ภาวะที่มีการสะสมของไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ Triglyceride ในเซลล์ตับ กล่าวคือมีปริมาณน้ำตาลส่วนเกินในร่างกายมากเกินความต้องการจนตับนำไปสร้างเป็นไขมัน (Lipogenesis)


            ในคนปกติระดับน้ำตาลจะถูกควบคุมโดยอินซูลิน (Insulin) ซึ่งผลิตมาจากตับอ่อน (Pancreas) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น โดยอินซูลินจะออกฤทธิ์ที่ตับ กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมันเพื่อให้ใช้น้ำตาล
            ในภาวะที่ดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ (Genetic Predisposition) หรือจากพฤติกรรม (Imbalance Lifestyle), การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันมากเกินไป (High Carbohydrate and High Fat Diet) จะทำให้เซลล์ต่าง ๆ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินเพิ่มมากขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เมื่อภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ตับมีการสะสมไขมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคนี้ไม่มีน้ำตาลไหนจะอันตรายไปกว่า High Fructose Corn Syrup ที่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มนำมาใช้ปรุงแต่งผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูปทั้งหลายอันเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ

จะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังมีไขมันพอกตับ


  1. โดยเจาะเลือดดูการทำงานของตับ (Liver Function Test) ว่ามีค่าการอักเสบ (Inflammation) สูงกว่าปกติ หรือไม่ ในคนที่มีภาวะไขมันพอกตับอาจพบระดับน้ำตาลและระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติร่วมด้วย
  2. การตรวจอัลตราซาวนด์บริเวณช่องท้อง จะพบว่าตับอาจมีขนาดโตขึ้น และมีลักษณะขาวขึ้นเมื่อเทียบกับไตและม้าม
  3. การตรวจวัดไขมันพอกตับจากการ Scan ด้วยเครื่อง (Dexa Scan Whole Body)
  4. Fibroscan เป็นการตรวจความยืดหยุ่นพร้อมกับประเมินไขมันสะสมภายในเนื้อตับเพื่อสำรวจความเสียหายของเนื้อเยื่อจากการมีไขมันไปพอก

ป้องกันภาวะไขมันพอกตับ


  • ควรลดน้ำหนักโดยการควบคุมปริมาณและคุณภาพอาหาร​ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (High Fat) เช่น นม เนย ไอศกรีม เค้ก ชีส กะทิ อาหารทะเล ไข่แดง และเนื่องจาก Triglyceride เป็นตัวสำคัญที่สะสมคั่งในตับก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไปด้วยเช่นกัน  
  • ควรเพิ่มผักผลไม้สด ถั่ว และธัญพืชที่มีเมล็ด เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน (Sunflower Seed) เมล็ด ฟักทอง (Pumpkin Seed) งา (Sesame Seed) นอกจากนี้การรับประทานผักบางชนิดยังสามารถช่วยเร่งกระบวนการกำจัดพิษออกจากตับ (Detoxification) ได้ เช่น ผักตระกูลบรอกโคลี กะหล่ำ กระเทียม และ หัวหอม
  • ในส่วนของเนื้อสัตว์ แนะนำให้รับประทานเนื้อที่ไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา เน้นทานไขมันที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่น น้ำมันมะกอก (Olive Oil) อะโวคาโด (Avocado) น้ำมันปลาโอเมก้า3 (Omega 3 Fish Oil)
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • สมุนไพรและอาหารเสริมบางชนิดทำหน้าที่ช่วยขับสารพิษออกจากตับได้ เช่น Milk Thistle,  Alpha Lipoic Acid (ALA), N-Acetyl-l-Cysteine (NAC)/NAC เป็นสารตั้งต้นของ Glutathione ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ช่วยขับพิษออกจากตับ นอกจากนี้ Vitamin B และแมกนีเซียม (Magnesium) ยังมีคุณสมบัติในการช่วยเยียวยาและกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ตับที่เสียหายอีกด้วย
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์