Articles by "business"
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ business แสดงบทความทั้งหมด
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


แอปเปิล (Apple) ประกาศบรรลุขั้นตอนการควบรวมกิจการชาแซม (Shazam) หนึ่งในแอปพลิเคชันเพลงที่มีชื่อเสียง และได้รับคะแนนสูงสุดจากผู้ใช้หลายร้อยล้านรายทั่วโลก ระบุเตรียมผ่าตัดแอป Shazam ให้เป็นบริการเพลงไร้โฆษณา เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ทุกรายเร็ววันนี้
Oliver Schusser รองประธานบริการแอปเปิลมิวสิก (Apple Music) กล่าวว่า Apple และ Shazam มีประวัติร่วมกันมาอย่างยาวนาน โดย Shazam เป็นหนึ่งในแอปกลุ่มแรกที่ให้บริการตอนที่ร้านแอปสโตร์ (App Store) เพิ่งเปิดตัวในช่วงแรก ก่อนที่ Shazam จะกลายเป็นแอปยอดนิยมของผู้ที่รักการฟังเพลงทั่วโลก
“ด้วยความที่บริษัทของเรารักเสียงเพลง และนวัตกรรมเหมือนกัน เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมทีมกันแล้ว ทำให้ผู้ใช้ได้ค้นพบ สัมผัส และสนุกกับการฟังเพลงผ่านช่องทางใหม่ๆ ที่ยอดเยี่ยม” ผู้บริหาร Apple ระบุ




สำหรับ Shazam จุดเด่น คือ ตัวแอปสามารถบอกผู้ใช้ได้ว่า เสียงเพลงที่ได้ฟังอยู่รอบตัว คือ เพลงอะไร ที่ผ่านมา Shazam คิดค่าบริการสำหรับผู้ใช้ระดับพรีเมียม ซึ่งอีกไม่นาน แอปจะให้บริการแก่ผู้ใช้ทุกรายแบบไม่มีโฆษณาคั่น จุดนี้ Apple ย้ำว่า เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับความยอดเยี่ยมของ Shazam แบบไม่มีสะดุด
ขณะนี้ แอป Shazam มียอดดาวน์โหลดกว่า 1 พันล้านครั้งทั่วโลก และช่วยผู้ใช้ระบุชื่อเพลงมากกว่า 20 ล้านครั้งต่อวัน Shazam เป็นเจ้าแรกที่นำนวัตกรรมการระบุชื่อเพลงมาใช้ จึงช่วยให้ผู้คนสามารถค้นหา โต้ตอบ และแชร์วิดีโอ ไฟล์เสียง หรือสื่อสิ่งพิมพ์ผ่านอุปกรณ์ และสื่อทุกรูปแบบ อีกทั้งยังช่วยให้แฟนเพลงสามารถติดตามศิลปินคนโปรด และแชร์การค้นพบอันน่าตื่นเต้นได้


ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


14 ก.ย. 61 -  ศาลปกครองกลางมีคำสั่งกรณีบริษัท โทเทิ่ล แอ๊คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (ดีแทค) ฟ้องขอเพิกถอนมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และคำสั่งของ กสทช. ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เฉพาะในส่วนที่กำหนดเงื่อนไขไม่ให้ผู้ไม่เข้าประมูลคลื่นความถี่ไม่ได้รับสิทธิเข้าสู่มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการ ตามประกาศ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. ๒๕๕๖ และดีแทคได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติดังกล่าว
ศาลปกครองกลาง วินิจฉัยว่า ประกาศคุ้มครองผู้ใช้บริการชั่วคราวฯ มีความมุ่งหมายประการสำคัญที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้บริการที่ยังไม่อาจโอนย้ายไปยังผู้ให้บริการรายอื่นสามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่องเมื่อสัญญาสัมปทานสิ้นสุด อันเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดประมูลคลื่นความถี่ใหม่ โดยให้ผู้รับสัมปทานเดิมมีหน้าที่ให้บริการต่อไปได้เป็นการชั่วคราว กสทช. จึงไม่อาจอ้างกรณีที่ไม่มีผู้เข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่มาใช้เป็นเหตุผลที่จะไม่ให้ดีแทคเข้าสู่มาตรการคุ้มครองตามประกาศดังกล่าว มติของ กสทช. จึงน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย
อีกทั้งถึงแม้ผู้ใช้บริการที่ยังไม่สามารถโอนย้ายเลขหมายได้จะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด แต่ก็ต้องฟังว่า ผู้ใช้บริการดังกล่าวอาจเป็นผู้เจ็บป่วย พิการ สูงอายุ ที่ต้องติดต่อสื่อสารกรณีเร่งด่วน หรืออยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร           ซึ่งคลื่น ๘๕๐ MHz สามารถใช้ได้ในพื้นที่ชนบทห่างไกล หากดีแทคไม่สามารถให้บริการได้ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ที่ยากแก่การเยียวยาได้ในภายหลัง นอกจากนี้ การที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของ กสทช. จะมีผลให้ดีแทคสามารถให้บริการในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านการสิ้นสุดสัมปทานเป็นการชั่วคราวเท่านั้น มิได้มีผลเป็นการห้ามมิให้ กสทช. ประมูลคลื่นความถี่ใหม่ และดีแทคมีหน้าที่ชำระค่าใช้คลื่นความถี่ในช่วงเวลาดังกล่าว การทุเลาการบังคับตามมติกสทช. จึงไม่เป็นอุปสรรคในการบริหารงานของรัฐหรือบริการสาธารณะ             จึงเข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลมีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับได้ และเห็นว่าผู้ใช้บริการที่ยังไม่สามารถโอนย้ายได้มีประมาณ ๙๐,๐๐๐ ราย จึงควรกำหนดระยะเวลาทุเลาการบังคับตามมติของกสทช. ไว้จนถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของกสทช. ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๑เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่กำหนดเงื่อนไขว่า หากดีแทคไม่เข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่ ๑๘๐๐ MHz และ ๙๐๐ MHz ก็จะไม่ได้รับสิทธิเข้าสู่มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. ๒๕๕๖โดยให้ดีแทคได้รับสิทธิเข้าสู่มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการตามประกาศดังกล่าว จึงให้ทุเลาการบังคับตามมติดังกล่าวจนถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ข่าวจาก ไทยโพสต์
 
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


10 ก.ย.61 นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) กล่าวภายในงานปาฐกถาการเปิดประชุมวิชาการนานาชาติ International Symposium on Converging Trchnology and Disruptive Communication-Moving Forward ว่า  กสทช. กำลังหาแนวทางในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในการให้บริการ ทั้งทางด้านโทรคมนาคม (Telecommunication) และการให้บริการด้านการแพร่ภาพ (Broadcasting) เพื่อให้การให้บริการเป็นไปอย่างเสรีและมีความยุติธรรม รวมถึงให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ และที่สำคัญจะต้องปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงและปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้กำหนดให้ กสทช. ทำหน้าที่กำกับดูแลและออกใบอนุญาตให้แก่ทั้งทางด้านโทรคมนาคมและการแพร่ภาพ เพียงหน่วยงานเดียว อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงาน กสทช. จะต้องหาแนวทางเพื่อให้ข้อมูลที่เผยแพร่เกิดประโยชน์และยุติธรรม โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจของประเทศ และการเสียภาษี รวมถึงเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่ปล่อยให้เศรษฐกิจของโลกถูกกำกับโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกไม่กี่บริษัท
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของสมาคมโฆษณาทางดิจิตอล (Digital Advertising Association) คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีการใช้งบประมาณโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลประมาณ 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 21 ซึ่งเป็นการโฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค และ YouTube ตามลำดับ ในทางตรงกันข้าม วงเงินโฆษณาผ่านทีวีลดลงปีละร้อยละ 10 จาก 2,500 ล้านบาท ในปี 2558 ลดลงเหลือ 2,000 ล้านบาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นการโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก ตามด้วยยูทูป ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาผ่านโทรทัศน์ ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี จากมูลค่าเม็ดเงินโฆษณาในโทรทัศน์ 2,500 ล้านบาท ในปี2558 เหลือมูลค่า 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ในการหลอมรวมเทคโนโลยี กับกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม สู่แพลตฟอร์มออนไลน์รูปแบบใหม่  ส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาไหลสู่ช่องทางออนไลน์ และส่วนเป็นเป็นผู้ให้บริการจากต่างประเทศ ซึ่งยังไม่ได้มีการจัดเก็บภาษี ดังนั้นประเทศไทยจึงไม่ได้ประโยชน์ในการนำเงินมาพัฒนาในสังคม
นายฐากร กล่าวอีกว่า หน่วยงานที่กำกับดูแลในแต่ละประเทศจะก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อกำหนดแนวนโยบายที่สนับสนุนต่อการดำเนินธุรกิจ และคุ้มครองผู้บริโภคให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงสื่อซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของเทคโนโลยีที่ผลักดันการขยายตัวธุรกิจดิจิทัลได้อย่างไร สิ่งสำคัญเม็ดเงินจากการโฆษณาไหลออกสู่นอกประเทศ ทั้งนี้สำนักงาน กสทช.จึงเสนอให้มีการกำกับดูแลที่เป็นธรรมต่อการแข่งขันทางธุรกิจโดยการจัดเก็บภาษี ผู้ให้บริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ปลายปีนี้ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม หน่วยงานกำกับดูแลด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะมีการหารือแนวทางในการกำกับดูแลธุรกิจรูปแบบใหม่ในทิศทางเดียวกัน
ขณะเดียวกันประเทศไทยจะเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีกิจการโอทีที หรือโอเวอร์เดอะท็อป ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม กับภาษีนิติบุคคล ซึ่งเป็นรูปแบบการกำกับดูแลการจัดเก็บรายได้ แต่ไม่ได้กำกับดูแลในด้านการควบคุมเนื้อหา เนื่องจากความละเอียดอ่อนด้านการกำกับดูแลเนื้อหาในภูมิภาคอาเซียนมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้อัตราการตัดเก็บภาษีกิจการโอทีทีในภูมิภาคอาเซียนอาจแตกต่างกันได้ แต่ไทยเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีโอทีทีทุกประเทศในอาเซียน

ข่าวจาก แนวหน้า
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


ตลาดคริปโตฯ ยังคงรักษาชื่อเสียงเรื่องความผันผวนล่าสุด ราคา Bitcoin ร่วงกระหน่ำข้ามคืนกว่าพันดอลลาร์มาซื้อขายกันในราคาราว 6,400 ดอลลาร์ในช่วงตลาดเอเชีย
 
ส่วน Ethereum (Ether) เหรียญเบอร์สองของตลาดก็ยิ่งย่ำแย่ มูลค่าลดลงกว่า 20% ในชั่วข้ามคืนมาซื้อขายกันในระดับต่ำกว่า 230 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2017 กลายเป็นเหรียญที่มูลค่าตกต่ำที่สุดเหรียญหนึ่งในบรรดาเหรียญระดับท็อป 10 
 
ราคาในปัจจุบันถือได้ว่า Ether ได้สูญเสียมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมาในตลาดขาขึ้นช่วงปีที่ผ่านมาไปเกือบหมด โดยมูลค่าได้ตกลงกว่า 84.2% จากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 1,357 ดอลลาร์ เมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน
 
และเมื่อเทียบราคาจากช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้วถึงวันนี้ มูลค่าของ Ether ได้ลดลงไปราว 63% ขณะที่ Bitcoin มูลค่าลดลงไป 17% ในชั่วระยะเวลาเดียวกัน (Business Insider)

ข่าวจาก GM
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. มีนโยบายให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการยกระดับมาตรฐานพฤติกรรมทางการตลาดของธุรกิจประกันภัย โดยได้มีการจัดประชุมทำความเข้าใจกับภาคธุรกิจประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางการจำหน่าย ส่งเสริมและกำกับดูแลให้ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยมีมาตรฐานจรรยาบรรณและแนวปฏิบัติที่ดีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อประชาชน ตลอดจนดูแลประชาชนผู้เอาประกันภัยภายหลังที่มีการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อให้ประชาชนในวงกว้างเกิดความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยและใช้ประโยชน์จากระบบประกันภัยได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง ส่งผลให้ครึ่งปีแรกของปี 2561 (มกราคม - มิถุนายน) ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรงผ่านช่องทางการขายจาก ตัวแทน ธนาคาร โทรศัพท์ นายหน้า ไปรษณีย์ และช่องทางอื่น รวมทั้งสิ้น 311,772 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.53 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งช่องทางการขายผ่าน “ธนาคาร” มีพัฒนาการการขายที่โดดเด่น มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรงสูงสุด จำนวน 148,788 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47.72 ของเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรงรวมทุกช่องทาง มีอัตราการขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 7.15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาคือช่องทางการขายผ่าน “ตัวแทน” มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรง จำนวน 140,822 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45.17 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 0.68 ตามมาด้วยการขายผ่านช่องทาง “โทรศัพท์” มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรง จำนวน 9,440 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.03 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 7.93

สำหรับธุรกิจประกันวินาศภัยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงผ่านช่องทางการขายจาก นายหน้า ธนาคาร ตัวแทน องค์กร ติดต่อโดยตรง โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต ไปรษณีย์ และช่องทางอื่น รวมทั้งสิ้น 114,302 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งช่องทางการขายผ่าน “นายหน้า” ยังคงมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงสูงสุด จำนวน 66,548 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 58.22 ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทุกช่องทาง มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 6.05 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาคือช่องทางการขายผ่าน “ธนาคาร” มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง จำนวน 15,754 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.78 มีอัตราการขยายตัวที่โดดเด่นที่ร้อยละ 10.99 และการขายผ่านช่องทาง “ตัวแทน” มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงเป็นอันดับ 3 จำนวน 15,438 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.51 หดตัวลงร้อยละ 6.87 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เลขาธิการ คปภ. กล่าวต่อว่าสำหรับในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 สำนักงาน คปภ. ยังคงมีแผนยกระดับการให้บริการและพฤติกรรมในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความเข้มข้นในการกำกับดูแลคนกลางประกันภัย ซึ่งเป็นช่องทางที่สำคัญในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยจะมีการปรับปรุงกติกาในการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ตลอดจนระบบตรวจสอบการปฏิบัติงานของคนกลางประกันภัยเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในกระบวนการขายและการดูแลกรณีเกิดปัญหาในเรื่องประกันภัย ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบและออกสุ่มตรวจสำนักงานตัวแทนประกันภัยและสำนักงานนายหน้าประกันภัยโดยจะมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันทั่วประเทศ และดำเนินการตามแผนการเข้าตรวจสอบ ทั้งการตรวจสอบประจำปี (annual examination) เพื่อตรวจสอบติดตามการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยป้องกัน/หรือลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนผู้เอาประกันภัยในอนาคต และการตรวจสอบเฉพาะ ซึ่งเป็นการตรวจสอบช่องทางการขายผ่านธนาคารพาณิชย์ และการตรวจสอบสื่อโฆษณา รวมถึงการเชิญบริษัทประกันภัย เพื่อหารือถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจและการควบคุมคุณภาพการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย รวมทั้งรับทราบประเด็นปัญหาในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย และ “เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนผู้บริโภคในยุคดิจิทัล สำนักงาน คปภ. ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น : รอบรู้ประกันภัย ซึ่งผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยแอพพลิเคชั่นนี้ จะให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการประกันภัย รวมถึงสามารถตรวจสอบว่าตัวแทน/นายหน้าที่เข้ามาเสนอขายประกันภัยได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตไปแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย


ข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจการค้าการลงทุนระหว่างนักธุรกิจผู้ซื้อผู้นำเข้าและนักลงทุนระดับชั้นนำจากไทยและจีน ในช่วงการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC เศรษฐกิจไทย-จีน) ครั้งที่ 6 สามารถจับคู่ธุรกิจได้มากกว่า 400 คู่ มีมูลค่าซื้อขายรวมกว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,264 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 32.80 บาทต่อเหรียญสหรัฐ) 
สินค้าและธุรกิจที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ได้แก่ ข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น โจ๊ก ข้าวต้มมัด เป็นต้น ขนมขบเคี้ยว ผลไม้สด อบแห้ง อบกรอบ ยางพารา หมอนและที่นอนยางพารา เครื่องดื่ม ได้แก่ น้ำผลไม้ และน้ำมะพร้าว เครื่องปรุงรส ซอส เครื่องสำอาง และลอจิสติกส์


อีกทั้งการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจในครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของสองประเทศในการร่วมผลักดันขยายการค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้สามารถบรรลุเป้าหมาย 140,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2564 ตามที่การประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีนได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้
สำหรับแผนการเร่งรัดการส่งออกเข้าสู่ตลาดจีน จะเน้นขยายความร่วมมือการค้า การลงทุน สร้างเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจสู่เมืองต่างๆ ของจีน ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลัก เมืองรองตามหัวเมืองต่างๆ ของจีนที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง รวมถึงมุ่งขยายความสัมพันธ์ไปยังเมืองท่าสำคัญ เช่น ชิงเต่า เซียะเหมิน และจะเร่งส่งเสริมการเชื่อมโยงเส้นทางลอจิสติกส์การค้าของไทยกับนโยบายเส้นทางหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BIR) ของจีน สู่เมืองพื้นที่ด้านในของจีน เช่น เฉิงตู ฉงชิ่ง กุ้ยหยาง ซีอาน หลานโจว เพื่อเชื่อมต่อไปยังจีนตอนในมุ่งสู่เอเชียกลาง และยุโรป
นอกจากนี้ จะใช้กลยุทธ์การตลาดนำการผลิต โดยการเจาะตลาดกลุ่ม Niche Market เช่น เจาะกลุ่มผู้บริโภคฮาลาลในจีน ในมณฑลหนิงเซียะ และกานซู่ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน มีแผนที่จะเร่งรัดขยายตลาดสินค้าและบริการไทยผ่านช่องทางการค้าสมัยใหม่ เช่น e-Commerce การร่วมมือระหว่างไทยกับจีนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบข้อมูลและการติดตามลอจิสติกส์ และศักยภาพของกำลังคน ซึ่งจะสามารถส่งเสริมการค้าทั้งทางช่องทาง Online และ Offline ทำให้สินค้าไทยสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน จีนสามารถใช้ไทยเป็น Digital Hub ทางการค้าในอาเซียนได้ด้วย


ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


ไทยออยล์เผยแนวโน้มรายได้เพิ่มจากปีก่อน จากการขยายการลงทุนหลายโครงการ ด้านไออาร์พีซี มองครึ่งปีหลังดีกว่า ครึ่งปีแรก แต่จับตาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือใกล้เคียงครึ่งปีแรก หลังจากเดือน ก.ค.ที่ผ่านมากำไรของธุรกิจโรงกลั่นและผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ลดลงจากไตรมาสแรกของปีนี้ โดยในปัจจุบันกำไรของทั้งโรงกลั่นและอะโรเมติกส์เริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ส่วนทิศทางราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลังคาดการณ์จะอยู่ที่ระดับ 70-75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ขณะที่ค่าการกลั่น (จีอาร์เอ็ม) ดีขึ้นค่อนข้างมาก จากสต็อกผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลของโลกอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้นมาก ด้านผลิตภัณฑ์พาราไซลีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์นั้น มีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 500 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จากปีที่แล้วที่อยู่ระดับ 300 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เป็นผลจากความต้องการใช้พาราไซลีนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการผลิตใหม่ของตลาดโลกไม่ได้เข้ามาตามแผนทำให้ราคาปรับขึ้นมาและส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต้องติดตามการเคลื่อนไหวราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงขึ้น และต้องจับตา สเปรดโรงกลั่นที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่สเปรดปิโตรเคมีทรงตัว ประกอบกับค่าการกลั่นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้กำไรสูงขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จึงมองภาพรวมธุรกิจของบริษัทจะเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้ว่า กำไรสุทธิปีนี้จะสูงกว่าปีที่ผ่านมา
“ไออาร์พีซีตั้งเป้าหมายสร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (อีบิทดา)เพิ่ม 100 ล้านเหรียญสหรัฐภายใน 3 ปี และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีมีอีบิทดาเพิ่มเป็น 29,000 ล้านบาทในปี 2563”สุกฤตย์ กล่าว

ข่าวจาก ไทยโพสต์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเทสลา (Tesla) อธิบายเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจลบบัญชีอินสตาแกรม (Instagram) ของตัวเองเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยใช้คำว่า “Instagram is so thirsty” เปรียบเปรยอ้างอิงบทกวีอมตะสะท้อนว่า Instagram คือ สิ่งอันตรายที่ต้องระวัง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากนักร้องแร็ปอเมริกันกล่าวหา Musk บน Instagram ว่า เศรษฐีอเมริกันรายนี้ยึดโทรศัพท์ของเธอไป
รายงานระบุว่า บัญชี Instagram ของ Elon Musk หัวเรือใหญ่ Tesla นั้น หายไปตั้งแต่ช่วงเช้าวันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2018 ตามเวลาสหรัฐฯ จุดนี้สื่ออเมริกันรายงานว่า Musk ไม่แคร์กับยอดผู้ติดตาม หรือ Follower บน Instagram ที่เพิ่มขึ้นตลอดช่วงเวลาหลายปีจนมีมากกว่า 8 ล้านคน
ล่าสุด Elon Musk ออกมาเปิดเผยเหตุผลที่ตัดสินใจปิดการใช้งาน Instagram ผ่านเครือข่ายทวิตเตอร์ (Twitter) โดยระบุว่า “Instagram is so thirsty, yet gives you Death by Water,” ทวีตดังกล่าวอ้างอิงบทกวีของ T.S. Eliot มีความหมายว่า “Instagram กระหายน้ำมากนัก แต่ยังทำให้คุณเสียชีวิตด้วยน้ำ”

ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

ชมภาพภายในร้าน “KPRO” ร้านขายอาหารจานด่วนสำหรับคนรักสุขภาพของ “KFC” ซึ่งเปิดตัวเป็นสาขาแรกในกรุงปักกิ่ง ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (13 ก.ค.) โดยเมนูในร้านอาหารแห่งนี้จะมีตั้งแต่สลัด แซนด์วิชพานินี แซลมอนรมควัน และไก่ย่าง (ไม่มีไก่ทอด) รวมถึงน้ำผลไม้สดและกาแฟรสเลิศ นอกจากนี้ยังบริการรับชำระเงินโดยไม่ต้องใช้เงินสด แต่ใช้ “รอยยิ้ม” หรือที่เรียกว่าบริการ "Smile to Pay" ที่ใช้เทคโนโลยีสแกนใบหน้าของผู้มาใช้บริการเพื่อจ่ายเงินอีกด้วย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของร้านอาหารสุขภาพดีแห่งนี้ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว





ข่าวจาก สำนักข่าวซินหัว
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

ใครหลายคนอาจเคยปวดหัวกับการซื้อกล้วยเป็นหวีเพื่อเก็บไว้กินทั้งสัปดาห์ แต่แล้วก็ลงเอยด้วยการกินไม่ทันบ้าง เน่าบ้าง หรือหากซื้อหวีที่ห่ามๆ มาก็ต้องรอ 1-2 วันกว่าจะได้กิน
ไม่น่าเชื่อว่าทุกปัญหาจะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย เพียงการแพ็คกล้วยขายแบบไล่จากสุกมาก สุกน้อย ไปจนถึงกล้วยที่ยังห่ามอยู่ พร้อมแปะคำแนะนำไว้ว่า “→โปรดรับประทานตามลำดับ→”
ภาพด้านล่างนี้คือไอเดียการขายกล้วยของซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ อีมาร์ท(ซุปเปอร์ในเครือชินเซเก)จับกล้วยแยกระดับความสุก แล้วมาแพ็คเรียงความสุกของกล้วยกินตามวัน ดังชื่อ “하루 하나 바나나” ฮารูฮานาบานาน่า 🍌“กล้วยวันต่อวัน” ซึ่งกำลังเป็นภาพที่ถูกส่งต่ออย่างรวดเร็วบนอินเตอร์เน็ตอยู่ขณะนี้ นับว่าเป็นไอเดียที่ดีสำหรับคนที่อาจไม่ได้อาศัยอยู่กับครอบครัว หรือมีใครหลายคนช่วยกิน การซื้อกล้วยแบบนี้ก็คงแก้ปัญหาไปได้มากทีเดียว





ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

รับชมภาพถ่ายทางอากาศของสนามกีฬาที่สร้างขึ้นบนหลังคาของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองฉงชิ่ง โดยสนามกีฬามีพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยสี่สนามเทเบิลเทนนิส สามสนามแบดมินตัน หนึ่งสนามบาสเกตบอล และอีกหนึ่งลู่วิ่งวงกลม




ข่าวจาก สำนักข่าวซินหัว
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

วานนี้ (7 ส.ค.) มูลค่าหุ้นของบริษัทเทสลา (Tesla) พุ่งสูงขึ้น 10.99 เปอร์เซ็นต์ หลังจากอีลอน มัสก์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้งประกาศว่าเขามีแผนจะถอดบริษัทออกจากตลาดหุ้น โดยการซื้อคืนหุ้นทั้งหมดที่ราคาหุ้นละ 420 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าราคาซื้อขายขณะนั้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์
มัสก์ประกาศผ่านทวิตเตอร์ของเขาในช่วงเที่ยงของวันที่ 7 ส.ค. หุ้นของบริษัทเทสลามีการระงับการซื้อขายเป็นเวลา 90 นาทีก่อนที่ประกาศทางการจะออกมา
ทั้งนี้ มัสก์ระบุว่าแม้ยังไม่ได้มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย เพราะต้องรอการลงคะแนนเสียงโดยผู้ถือหุ้น แต่ทั้งหมดที่นำมาสู่การตัดสินใจนำบริษัทออกจากตลาดหุ้นก็เพื่อให้บริษัทมีอิสระในการทำงาน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการทำงานของบริษัท โดยไม่ต้องกดดันว่าจะต้องเอาใจนักลงทุนหรือมุ่งความสนใจไปที่ราคาตลาดหุ้นซึ่งผันผวนสูง
ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งสูงขึ้น 10.99 เปอร์เซ็นต์จนกระทั่งปิดตลาดที่ราคาหุ้นละ 379.57 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวานนี้
มูลค่าของบริษัทเทสลาในตลาดหุ้นขณะนี้อยู่ที่ 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากมัสก์ซื้อบริษัทคืนที่ราคาหุ้นละ 420 ดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้บริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

“พาณิชย์”โชว์ความศักดิ์สิทธิ์ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ เผยล้งลำไยไม่กล้าเอาเปรียบชาวสวน เหตุสามารถเอาผิดได้ทันที ส่วนล้งผลไม้ที่จันทบุรี ได้ส่งหนังสือคำสั่งทางปกครองให้หยุดพฤติกรรม ลั่นไม่ถือว่าตลาดวาย แม้ผลไม้จะหมด แต่ช่วงที่ดำเนินการ ล้งก็กลัว หยุดพฤติกรรมก่อนแล้ว 

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มีการติดตามการรับซื้อลำไยของผู้รวบรวม คัดแยก บรรจุและส่งออกผลไม้ (ล้งผลไม้) ในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตลำไยเริ่มทยอยออกสู่ตลาด โดยยังไม่พบล้งที่เอาเปรียบชาวสวน แต่จะมีการมีการติดตาม ตรวจสอบอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา และเป็นการดูแลเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรมจากการขายผลผลิต

“ถือว่าการใช้พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าพ.ศ.2560 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับปรับปรุงใหม่ที่ได้ผล ทำให้ล้งไม่กล้าเอาเปรียบชาวสวน เพราะเราสามารถใช้อำนาจทางกฎหมาย เอาผิดคนทำการค้าไม่เป็นธรรมได้ทันที”นายบุณยฤทธิ์กล่าว

นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการเอาผิดล้งผลไม้ที่จ.จันทบุรี สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ได้ส่งหนังสือคำสั่งทางปกครอง ไปให้ล้งที่กระทำผิดให้หยุดพฤติกรรมเอาเปรียบชาวสวนผลไม้แล้ว หลังจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ที่มีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ได้ตรวจสอบและพบว่าล้งผลไม้หลายรายมีพฤติกรรมเอาเปรียบชาวสวน ซึ่งถือเป็นความผิดตามมาตรา 57 (2) ของกฎหมาย เพราะใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรม จนทำให้ชาวสวนผลไม้ได้รับความเดือดร้อน

“ที่ส่งหนังสือไปให้ล้งล่าช้า และบางคนบอกว่า ผลไม้วายแล้ว อาจจะไม่ทันกับการแก้ไขปัญหาล้งเอาเปรียบ ขอชี้แจงว่าไม่ได้ช้า แต่ต้องทำให้ถูกต้องทุกขั้นตอน เพราะได้ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกฤษฎีกาบอกว่าต้องเวียนหนังสือให้กรรมการลงนามให้ครบทุกคน จึงทำให้การส่งหนังสือไปถึงล้งล่าช้าออกไป แต่ก่อนส่งหนังสือไป ก็แจ้งไปยังล้งเหล่านั้นให้หยุดพฤติกรรมเอาเปรียบแล้ว และล้งก็ได้หยุดพฤติกรรมมาก่อนแล้ว ตอนนี้เป็นขั้นตอนการทำงานตามกฎหมาย”

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ล้งได้รับหนังสือคำสั่งทางปกครองแล้ว ต้องมามารายงานตัวต่อสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และต้องหยุดพฤติกรรมเอาเปรียบต่างๆ ทั้งหมด รวมทั้งจะต้องปรับปรุงการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เช่น กำหนดให้ชาวสวนห้ามขายผลไม้ให้ล้งรายอื่น หากผิดสัญญาจะต้องเสียค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือสูงเกินจริง เช่น เดือนละ 5% หรือปีละ 60% ขณะที่ล้งบางรายทำผิดสัญญากับชาวสวนเอง เช่น ไม่รับซื้อผลไม้ตกเกรด แต่ชาวสวนไม่สามารถดำเนินใดๆ กับล้งที่ผิดสัญญาได้ ซึ่งจะต้องแก้ไข ไม่ให้มีการเปรียบชาวสวนได้อีก

ข่าวจาก CNA
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

อีวานกา ทรัมป์ ลูกสาวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยุบแบรนด์แฟชั่น "อีวานกา ทรัมป์" ของเธอแล้ว อ้างยังอยากทำงานการเมืองต่อ แต่สื่อเผยยอดขายสินค้าดิ่งฮวบ หลังมีเสียงวิจารณ์ผลประโยชน์ทับซ้อนและกระแสต่อต้านพ่อของเธอที่ทำให้ห้างค้าปลีกหลายแห่งเลิกขายแบรนด์นี้

เอเอฟพีรายงานเมื่อวันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 ว่าลูกสาววัย 36 ปีของประธานาธิบดีทรัมป์ได้วางมือจากการบริหารธุรกิจแฟชั่น "อีวานกา ทรัมป์" ของเธอภายหลังได้รับแต่งตั้งจากพ่อเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว แต่เธอยังคงเก็บเกี่ยวผลกำไรจากธุรกิจนี้ ในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร อีวานกากล่าวว่าภายหลังทำงานที่วอชิงตันมานาน 17 เดือน เธอไม่รู้ว่าเธอจะได้กลับไปทำธุรกิจอีกเมื่อใดหรือจะได้กลับไปหรือไม่ ที่รู้ในตอนนี้คืออนาคตเบื้องหน้าที่เธอทุ่มเทสมาธิให้คืองานที่เธอกำลังทำอยู่ที่วอชิงตัน

    อีวานกากับจาเรด คุชเนอร์ สามีของเธอซึ่งได้รับแต่งตั้งจากทรัมป์ให้เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีสหรัฐด้วยเช่นกัน มีรายได้เมื่อปีที่แล้วอย่างน้อย 82 ล้านดอลลาร์ ทั้งคู่ไม่รับเงินเดือนจากตำแหน่งที่ปรึกษา
    อีวานกาเริ่มก่อตั้งแบรนด์นี้ของเธอเมื่อปี 2550 โดยเริ่มจากธุรกิจอัญมณี ก่อนที่จะขยายแบรนด์ไปยังธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ โดยจับกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลางที่เป็นคนวัยทำงาน อาทิ รองเท้า, กระเป๋าและเสื้อผ้า สินค้าของเธอวางขายในห้างสรรพสินค้าของสหรัฐหลายแห่ง ทั้งห้างเมซีส์, ที.เจ.แมกซ์, นอร์ดสตอร์ม และนีแมน มาร์คัส
    ปี 2559 ที่พ่อของเธอลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี อีวานกาทุ่มเทช่วยพ่อหาเสียงอย่างหนัก ปีนี้แบรนด์ของเธอได้ขยายธุรกิจไปยังสินค้าประเภทผ้ายีนส์, ชุดออกกำลังกาย และชุดเครื่องนอนเด็ก
    ภายหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง อีวานกาก็ประกาศในเดือนมกราคมปีถัดมาว่า เธอกำลังวางมือจากทรัมป์ออร์แกไนเซชัน บริษัทที่ดูแลธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว และวางมือจากการบริหารแบรนด์แฟชั่นของเธอแล้วนำเข้าทรัสต์
    กระนั้น แบรนด์อีวานกา ทรัมป์ ยังคงถูกวิจารณ์และได้รับผลกระทบจากกระแสต่อต้านรัฐบาลของพ่อเธอ มีเสียงเรียกร้องให้บอยคอตพวกที่ทำธุรกิจกับครอบครัวทรัมป์
 ยอดขายของแบรนด์อีวานกา ทรัมป์ ที่พุ่งพรวดในปี 2559 ที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง กลับดิ่งลงในปีที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งประกาศเลิกขายสินค้าแบรนด์นี้โดยอ้างเหตุผลว่ายอดขายไม่ดี อาทิ ห้างนอร์ดสตอร์มและนีแมน มาร์คัส และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วฮัดสันส์เบย์ เชนห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่สุดของแคนาดาก็อ้างยอดขายไม่ดี ยกเลิกสัญญากับแบรนด์นี้เช่นกัน
    บริษัทของอีวานกาไม่ได้เปิดเผยยอดขายสินค้าของพวกเขา แต่บีบีซีอ้างรายงานของวอลล์สตรีทเจอร์นัลที่อ้างอิงผลการค้นคว้าจากรากุเตนอินเทลลิเจนซ์ ว่ายอดขายออนไลน์ทางแอมะซอน, เมซีส์ และบลูมมิงเดลส์ตกลงเกือบ 45% ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงเดือนมิถุนายน
    การค้นคว้าของวอชิงตันโพสต์เมื่อปีที่แล้วยังพบด้วยว่า เสื้อผ้าทั้งหมดของแบรนด์นี้ล้วนผลิตในประเทศกำลังพัฒนา เช่น บังกลาเทศ, อินโดนีเซีย และจีน
     อีวานกายังถูกวิจารณ์เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย องค์กรพลเมืองเพื่อความรับผิดชอบและจริยธรรมในวอชิงตัน (ครูว์) เรียกร้องให้ครอบครัวทรัมป์วางมือจากธุรกิจทั้งหมด ซึ่งครอบครัวนี้ควรทำตั้งแต่ก่อนเข้าทำเนียบขาวแล้ว
    องค์กรนี้เคยเปิดโปงเมื่อเดือนพฤษภาคมว่า แบรนด์ของอีวานกาได้รับอนุมัติเครื่องหมายการค้า 5  ประเภทในจีน เพียงไม่กี่วันหลังจากทรัมป์ตัดสินใจปุบปับยกเลิกคำสั่งห้ามบริษัทสหรัฐทำธุรกิจกับบริษัทโทรคมนาคม แซดทีอี ของจีน.

ข่าวจาก ไทยโพสต์

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

แม้ว่าการรับหน้าที่ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ มี แอนด์ เดอะ บีส์ เลมอนเนด (Me & The Bees Lemonade) อย่างเต็มตัวของหนูน้อยมิคาอิลา อัลเมอร์ แต่ก็ไม่ทำให้เธอต้องละทิ้งการเรียนไปได้
"บางครั้ง ฉันต้องขาดเรียนบางวิชา เพื่อที่จะให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่าง ๆ หรือ เดินทางไปออกรายการโทรทัศน์ หรือบางครั้งก็ต้องพลาดงานใหญ่ ๆ งานแสดง เพราะต้องมีโปรเจกท์สำคัญ หรือ ต้องเข้าสอบที่โรงเรียน" ด.ญ.อัลเมอร์บอกกับบีบีซี และยังย้ำว่า "ชีวิตของฉันไม่ง่ายเลย"
เมื่อถามถึงผลการเรียนแล้ว อย่างเช่น ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ คะแนนของเธอก็อยู่ในเกณฑ์กลาง ๆ เท่านั้น แต่หากถามว่าธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวของเธอเป็นอย่างไรบ้าง บอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา เพราะสินค้าของเธอตอนนี้ ถูกวางจำหน่ายไปแล้วในร้านค้ากว่า 500 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ โดยมียอดขายราว 360,000 ขวดต่อปี และทำให้เธอกลายเป็นนักธุรกิจที่มีอายุน้อยทีสุดคนหนึ่งในสหรัฐ ฯ

ริ่มธุรกิจได้อย่างไร
ที่จริงแล้ว หนูน้อยอัลเมอร์เริ่มต้นธุรกิจนี้มาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยครั้งแรกที่เธอขายน้ำมะนาวที่หน้าบ้านในปี 2009 ซึ่งจุดเด่นของน้ำมะนาวของเธอเป็น สูตรต้นตำรับที่ตกทอดมาจากรุ่นทวด ที่มีส่วนผสมจากน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เธอถูกผึ้งต่อยอย่างน้อยสองตัวในเวลาสองสัปดาห์
แทนที่พ่อแม่จะเป็นกังวลที่ลูกจะได้รับบาดเจ็บจากการยุ่งกับบรรดาฝูงผึ้ง แต่พวกเขากลับสนับสนุนและให้คำแนะนำดี ๆ ต่อหนูน้อยอัลเมอร์ โดยเธอศึกษาและวิจัยข้อมูลเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับพวกมันมากขึ้น โดยเฉพาะการมีบทบาทสำคัญในการช่วยผสมเกสรดอกไม้และในระบบนิเวศ
นี่จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอมอบรายได้ส่วนหนึ่งของยอดขายน้ำมะนาวแก่องค์กรพิทักษ์ผึ้ง หลังจากนั้นร้านน้ำมะนาวของเธอก็ได้รับความไว้วางใจให้ส่งน้ำมะนาวไปขายในร้านพิซซ่าแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะขยายช่องทางการขายจนมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันธุรกิจของเธอสมทบทุนให้กับกลุ่มอนุรักษ์ผึ้ง ในสัดส่วน 10% ของกำไร
"พวกเราคือ ซีอีโอร่วม ที่จะช่วยการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ เพราะบางเรื่องพ่อแม่ตัดสินใจไม่ได้ก็ให้ฉันทำแทน บางเรื่องที่ฉันตัดสินใจไม่ได้ พ่อแม่ก็จะช่วย" เธอบอกและว่า "ฉันยังเด็กด้วยแหละ มีเรื่องไม่รู้อีกตั้งหลายอย่าง ก็ต้องให้พ่อแม่ช่วยออกความคิดเห็นในบางเรื่อง"
 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
ช่วงต้นปี 2015 ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท เมื่อสามารถคว้าสัญญาที่จะส่งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำมะนาวขวดเข้าไปจำหน่ายในห้าง โฮล์ ฟู้ดส์ มาร์เก็ต (Whole Foods Market) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำของสหรัฐฯ
ผู้บริหารของห้างแห่งนี้บอกว่า "หนูน้อยซีอีโอคนนี้ และบริษัทของเธอน่าสนใจมาก เนื่องจากมีสินค้าที่มีเอกลักษณ์ รสชาติดีเยี่ยม บวกกับความมุ่งมั่นของเจ้าของและความรับผิดชอบต่อสังคม"
ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้บริหารห้างสรรพสินค้ารายนี้ก็บอกว่า รู้สึกประทับใจซีอีโอวัย 9 ขวบคนนี้มาก โดยเฉพาะการมีวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะเรื่องความสำคัญของผึ้งในการช่วยผสมเกสรดอกไม้
ก้าวที่ยิ่งใหญ่
ต่อมาในปี 2015 หนูน้อยซีอีโอถูกกล่าวขวัญผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง เช่น การแนะนำผ่านรายการโทรทัศน์ที่มีผู้ชมทั่วสหรัฐฯ นอกจากนี้เธอยังได้นำเสนอโครงการต่อกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมลงทุนในธุรกิจ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ เดย์มอนด์ จอห์น เจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าฟูบู (FUBU) ที่ตกลงจะลงทุนเป็นเงินราว 6 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ
ข่าวจาก บีบีซีไทย
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

สำนักงานนโยบายและแผนกระทรวงพลังงาน รายงานสถานการณ์ระดับราคาน้ำมันในช่วง 9-13 ก.ค. 2561 ว่า ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังทรงตัวสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยบวกคือซัพพลายน้ำมันดิบแหล่ง Syncrude ประเทศแคนาดา ที่มีกำลังการผลิต 360,000 บาร์เรลต่อวัน จะหยุดดำเนินการ ผลิตไปจนถึงเดือนกันยายน 2561 และกำลังการผลิตน้ำมันดิบจากแหล่งขุดเจาะน้ำมัน Knarr บริษัท Royal Dutch Shell ประเทศนอร์เวย์ หยุดชะงักจากการประท้วงของคนงานหลายร้อยคน ขณะที่ปัจจัยลบที่มีผลต่อราคาน้ำมันมาจากการผลิตน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบีย ราว 10.488 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 458,000 บาร์เรลต่อวัน
สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซลในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากซัพพลายยังคงสูง และความต้องการนำเข้าเบนซินของจีนลดลง ขณะที่ราคาดีเซลในภูมิภาคได้รับแรงกดดันจากปริมาณสต๊อกดีเซลของยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตามองมี 2 เรื่อง คือ ปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐมีแนวโน้มลดลง และความเคลื่อนไหวของประเทศต่าง ๆ ที่นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน หลังจากสหรัฐประกาศให้ทุกประเทศหยุดนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ปัจจุบันอิหร่านมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 3.7-3.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออก 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน


ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok


บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด(มหาชน) BTSจัดแถลงข่าว กรณีเกิดเหตุขัดข้องในการเดินรถไฟฟ้ามาตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมาซึ่งส่งผลกระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสาร เบื้องต้น BTS คาดการณ์ว่าสาเหตุมาจากการกวนกันของสัญญาณคลื่นวิทยุสื่อสารจากภายนอก

โดยวันนี้ ทาง ดร.อาณัติ อาภาภิรมประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดการ พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ bts นายพิชัย สุวรรณกิจบริหาร ผู้อำนวยการสำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม กสทช. นายรังสรรค์ จันทร์นฤกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจสื่อสารไร้สายบริษัททีโอทีจำกัด ร่วมกันเปิดเผยว่า หลังการหารือร่วมกันจาก3 ฝ่าย ร่วมถึง บ.ดีแทค สรุปว่าปัญหาอาณัติสัญญาณที่ทำให้ระบบเดินรถ BTS ขัดข้อง เกิดจากมีการรบกวนสัญญาณสื่อสารของสัญญาณโทรคมนาคมย่านความถี่ 2300 เมกะเฮิรตซ์ ต่อสัญญาณวิทยุซึ่งใช้ในระบบอาณัติสัญญาณ ความถี่ 2400 เมกะเฮิรตซ์ ส่งผลให้การเดินรถล่าช้ากว่าปกติ

โดยนายสุรพงษ์เปิดเผยว่า ในคืนวันศุกร์ที่ 29 นี้ BTS จะติดตั้งอุปกรณ์คลื่นวิทยุสัญญาณmoza(ม็อคซ่า) ให้แล้วเสร็จและจะย้ายคลื่นความถี่ 2400 เมกะเฮิรตซ์ไปอยู่ในคลื่นความถี่ 2500 เมกกะเฮิร์ตเพื่อลดการรบกวนจากคลื่นความถี่ 2300 เมกกะเฮิร์ต ของบริษัททีโอทีที่ส่งผลต่อการเดินรถของ BTS จากขบวนและ 2 นาทีเป็น 5 ถึง 7 นาที พร้อมระบุว่าล่าสุด บริษัททีโอทีได้ปิดคลื่นความถี่สถานีฐานซึ่งอยู่ตามแนวรถไฟฟ้า BTS ทั้งหมด 10 สถานีไปแล้วเพื่อลดการรบกวน และส่วนของ BTS มีการย้ายคลื่นความถี่แล้วแต่เบื้องต้นจากการทดสอบยังพบว่ามีการรบกวนของสัญญาณมือถืออยู่บ้าง 

ทั้งนี้ เมื่อระบบเสร็จสิ้นต้องรอลุ้นในวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคมซึ่งเป็นชั่วโมงเร่งด่วนมีผู้โดยสารจำนวนมาก ว่าจะเดินรถได้ตามปกติหรือไม่ อย่างไรก็ตามบีทีเอสมีการหารือกับศูนย์ ปลอดภัยกระทรวงมัฑณาคม เพื่อหาแนวทางรับมือหากเกิดเหตุขัดข้องอีกเช่นจัดรถเมล์รองรับในชั่วโมงเร่งด่วนตามแนวรถไฟฟ้า ขณะที่มาตรการชดเชยผู้โดยสารช่วงที่เกิดเหตุขัดข้อง นายสุรพงษ์กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 28-29 มิถุนายน บัตรประเภท Rabbit Card ทั้งแบบเติมเงินและเติมเที่ยวจะไม่มีการตัดเที่ยวหรือค่าเดินทาง ส่วนประเภทใช้ครั้งเดียวจะสามารถออกจากระบบและเก็บบัตรโดยสารไว้ใช้งานได้ไหมภายใน 14 วันตามมูลค่าเดิม สำหรับการชดเชยกรณีอื่นๆให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการ ในช่วง 3 วันที่ขัดข้อง อยู่ระหว่าง สรุปตัวเลขผู้โดยสารที่เข้ามายังระบบและคืนตั๋วออกจากระบบพร้อมหารือ ก่อนดำเนินการชดเชย แต่จากยอดผู้โดยสารในห้วงเวลาปกติจันทร์ถึงศุกร์จะอยู่ราว 7 แสนคนต่อวัน 

ด้านดร.อาณัติ ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน BTS ไม่เคยนิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าว การแก้ไขได้ทำตามคำแนะนำจากกสทช. และ TOT ว่าหลังจากนี้จะต้องตรวจสอบระบบคลื่นความถี่ทั้งหมดที่อาจเข้ามารบกวน ในอนาคต เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเดินรถของ BTS สวนนายรังสรรค์ บ.TOT ระบุว่า ขอความร่วมมือพื้นที่โดยรอบที่มีการติดตั้งกล้อง CCTV ตามแนวรถไฟฟ้า BTS ให้ทำการปรับกำลังส่งสัญญาณให้ลดความเข้มของสัญญาณลงเพื่อลดการรบกวน โดยยืนยันว่าสัญญาณ WiFi และสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่ได้มีผลกระทบกับคลื่น 2400 ที่ BTS ใช้แต่อย่างใด

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok
นายรัฐการ จูตะเสน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการขาย บริษัท นิสสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในขณะนี้ โดยระบุว่า ในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา ตลาดโตขึ้นเยอะกว่า 27% ถ้าเทียบกับสามเดือนแรกของต้นปีที่ตลาดโตขึ้นแค่ 13% ซึ่งภาพรวมของนิสสัน สามารถทำได้ตามเป้าหมาย แต่ตลาดโดยรวมโตขึ้นมา นิสสันจึงพยายามรักษายอดการเติบโตตอนนี้ที่ 7% ยืนยันนิสสันยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะสองเดือนที่ผ่านมา ตลาดอีโคคาร์โตขึ้นถึง 57% โดยอีโคคาร์ของนิสสัน สามารถรักษาส่วนแบ่งได้ 20% ก็ถือว่าเป็นการโตไปพร้อมกับตลาด ทั้งนี้ แม้อีโคคาร์ของนิสสันจะเติบโต แต่ตลาดในภาพรวมรอบสองเดือนที่ผ่านมาที่เติบโต มาจากรถกระบะ โดยเฉพาะจากโตโยต้าและอีซูซุ
“ขณะที่นิสสันนาวาร่าก็สามารถขายได้ตามเป้าหมาย แต่ยอมรับว่าโตไม่ทันตลาด แต่ที่ผ่านมาเราได้พยายามตอบแทนเพื่อที่จะรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ที่ 6 % โดยได้มีการออกโปรโมชันตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว เช่นตัว นาวาร่า คิงแค็บ ที่ราคาถูกที่สุดในตลาดคือ 549,000 บาท จากราคา 635,000 บาท และสามารถผ่อนได้ราคา 6,900 บาทต่อเดือน ฟรีประกันภัย ลูกค้าสามารถเอารถไปบรรทุก มีศักยภาพในการผ่อนชำระ ไม่ต้องค้ำประกัน ก็สามารถออกรถ คิงแค็บ ได้” นายรัฐการระบุ

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดรถกระบะโตขึ้น 27 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ Eco Car โตขึ้นมากกว่า 57% โดยปัจจัยน่าจะมาจากหลายเรื่องเช่นเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น รายการเปิดตัวของรถรุ่นใหม่ รวมถึงการทำให้การออกรถใหม่เป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยอีโคคาร์ถือเป็นจุดแข็งของนิสสัน แม้ตลาดจะโตไวแต่นิสสันก็สามารถรักษาส่วนแบ่งของตลาดได้ ในส่วนกระบะ นิสสันพยายามปรับเรื่องโปรโมชั่น มั่นใจว่าเดือนนี้จะสามารถรักษาส่วนแบ่งของตลาดเดิมได้ โดยการลดราคากระบะ King Cab เป็นโปรโมชันเบื้องต้น เริ่มตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว สิ้นสุดในเดือนนี้เพื่อทดลองดูตลาด
ผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องกรณีการปิดโชว์รูมเป็นจำนวนมากของนิสสัน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรบ้าง นายรัฐการ ระบุว่า ข้อเท็จจริงคือว่าเมื่อปีที่แล้วเรามีการประชุมกับตัวแทนจำหน่าย ว่าการปรับปรุงต่างๆ จะดูเรื่อง ประสิทธิภาพต่างๆ ซึ่งนิสสันก็มีการประเมินมาตลอด ผู้แทนจำหน่ายใดไม่ผ่านเกณฑ์ของบริษัท นิสสันก็ตกลงกับผู้แทนจำหน่ายตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะต้องเดินตามหลักเกณฑ์ที่ตกลงกันไว้ ยืนยันว่าการเลิกสัญญาเป็นเรื่องของการประเมินประสิทธิภาพเป็นหลัก
“คือตอนนี้ Nissan ก็ยังมีโชว์รูมครบทุกจังหวัด ในส่วนโชว์รูมที่ปิดไปลูกค้าก็สามารถเลือกเข้าที่ใกล้เคียงได้ทุกที่ ยืนยันไม่มีอะไรมากกว่านี้ เป็นไปตามข้อตกลงที่เราคุยกัน โดยขณะนี้นิสสันมีโชว์รูมประมาณ 190 โชว์รูม ยุบไป 16 แห่ง จาก 214 แห่ง  ซึ่งนิสสันไม่ได้มีเป้าหมายในการปิดโชว์รูม เพียงแต่มีนักลงทุนใหม่เข้ามา ยืนยันว่าขณะนี้เราสามารถให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมทุกพื้นที่” นายรัฐการกล่าวยืนยัน
ส่วนเรื่องรถยนต์รุ่นใหม่ของนิสสันที่กำลังจะเปิดตัวคือ Nissan terra นายรัฐการ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่เปิดจองซึ่งกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ ส่วน Nissan GTR 2018 ตัวใหม่ มีคนสนใจเยอะ ที่เพิ่งเปิดตัวขณะนี้ก็มีการจองเข้ามาแล้ว แต่ยอมรับว่ายังไม่เยอะ ทั้งนี้ ภาพรวมของตลาดรถยนต์ที่เริ่มกลับมาดีขึ้น ภาพรวมหนี้เสียลดลง ทำให้ไฟแนนซ์ผ่อนคลายเงื่อนไขมากขึ้น โดยไปเข้มงวดกับบางจังหวัดหรือบางพื้นที่ ที่พบว่ามีปัญหาหนี้เสียมากขึ้น แต่ภาพรวมทั้งประเทศดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงปัจจัยที่จะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดรถยนต์ในช่วงหลัง นายรัฐการ ระบุว่า “ส่วนตัวเห็นว่าการจะขับเคลื่อนไปในทิศทางที่จะมีเลือกตั้ง ขณะเดียวกันหลายแบรนด์ก็มีแนวโน้มจะเปิดตัวสินค้าใหม่ ก็จะทำให้มีการแข่งขันมากขึ้น ก็น่าจะทำให้ตลาดรถยนต์เติบโตขึ้น”

ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok

โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีหัวใจหลักสำคัญคือ การพัฒนาพื้นที่ “สนามบินอู่ตะเภา” ให้เป็น “เมืองการบิน” ครอบคลุมพื้นที่ 6,500 ไร่ มูลค่าลงทุน 200,000 ล้านบาท

ประกอบด้วย 6 โครงการ ได้แก่ 1.อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 (Terminal 3 and Airport Facilities) 2.ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) 3.ศูนย์ธุรกิจการค้า (Commercial Precinct) 4.กลุ่มอาคารคลังสินค้า (Cargo Village) 5.ธุรกิจขนส่งศูนย์สินค้าทางอากาศ และโลจิสติกส์/เขตประกอบการเสรี Free Trade Zone (Cargo Facilities) และ 6.ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางการบิน (Aviation Training Center) ทำให้เมืองการบินแห่งนี้กลายเป็น “มหานครการบิน” เชื่อมโยงระหว่าง EEC กับโลจิสติกส์ทางอากาศ อีกทั้งยังทำให้เกิดการเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ระหว่างดอนเมือง, สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา
อันนำไปสู่การเป็นศูนย์การบินนานาชาติของเอเชียที่มีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 15 ล้านคน ภายใน 5 ปี เพิ่มเป็น 30 ล้านคน ภายใน 10 ปี และ 60 ล้านคน ในอีก 15 ปี ขณะที่ในปัจจุบันรองรับได้ 2 ล้านคน
นอกจากจะส่งผลให้ประเทศไทยกลับมาได้เปรียบทางอากาศอีกครั้ง ยังเป็นการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค “ASEAN Connectivity 2025” ทั้งเชื่อมกลุ่มประเทศ CLMV (ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ พนมเปญ โฮจิมินห์ซิตี ฮานอย เวียงจันทน์) และอาเซียนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ มะนิลา จาการ์ตา และบรูไน เชื่อมจีนตั้งแต่คุนหมิง เจิ้งโจว ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง ญี่ปุ่น (โตเกียว โอซากา) โซล และไทเป และเชื่อมอินเดีย (นิวเดลี มุมไบ เชนไน ไฮเดอราบาด)
เปิดแผนแม่บทเมืองการบิน
“คณิศ แสงสุพรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยถึงแผนแม่บทโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะ “เมืองการบิน” ว่า ลำดับแรกของแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นเมืองการบินจะเริ่มจาก 1 ใน 6 โครงการก่อนคือ “ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)” อยู่ระหว่างจัดทำร่างขอบเขตของงาน (TOR) ให้แล้วเสร็จก่อนเดือน ต.ค. 2561 จึงจะประกาศเชิญชวนนักลงทุน เปิด TOR ใน ต.ค. และเปิดขายซองใน ธ.ค. ก่อนสิ้นปีต้องได้นักลงทุน และตามกรอบเวลากำหนดให้ลงนามในสัญญาภายใน ก.พ. 2562
สำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) จะมีพื้นที่ราว 500 ไร่ โดยในพื้นที่ 200 ไร่ จะเป็นการร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระหว่าง “การบินไทยกับแอร์บัส” ซึ่งกำลังจะลงนามความตกลงสัญญากรอบการร่วมทุน ระหว่าง บมจ.การบินไทย และบริษัท Airbus Commercial Aircraft ในการโรดโชว์ของคณะนายกรัฐมนตรี ที่เมืองตูลูส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ในวันที่ 22 มิ.ย. 2561 นี้
นอกจากนี้มีพาร์ตเนอร์อีกหลายราย โดยแอร์เอเชียสนใจ 60 ไร่ รวมถึงสิงคโปร์ที่เข้ามาเจรจาภายใต้รูปแบบการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) การทำ MRO จะทำควบคู่กับการสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 3 และรันเวย์ที่ 2 โดยอยู่ระหว่างจัดทำ TOR จ้างผู้ออกแบบ จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2563 เสร็จปี 2566
“เมื่อแผน MRO เดินทางมาได้ระยะหนึ่ง กพอ.จะเริ่มทำแผนสนามบินอู่ตะเภาอีกโครงการถัดไป”
สำหรับสนามบินอู่ตะเภา แบ่งออกเป็นเขตชั้นในมหานครการบินภาคตะวันออก 10 กม. รอบสนามบิน 140,000 ไร่ มีสัตหีบ บ้านฉาง เป็นศูนย์กลาง เขตชั้นกลาง 30 กม. จากสนามบินเมืองพัทยาถึงเมืองระยอง แหลมฉบัง มีรถไฟความเร็วสูงใช้เวลาเดินทาง 17-19 นาที และถนนไม่เกิน 40 นาที เขตชั้นนอก 60 กม. จากสนามบินชลบุรี และระยอง ตั้งแต่ศรีราชา บ้านค่าย บ้านบึง รถไฟความเร็วสูง 30-35 นาที ถนนไม่เกิน 60 นาที
การขยายตัวมี 2 แนวทาง แนวที่ 1.ขยายการท่องเที่ยวและเมืองทันสมัยน่าอยู่ 1.1 สนามบิน-สัตหีบ บางสะเหร่ จอมเทียน พัทยา ศรีราชา 1.2 สนามบิน-บ้านฉาง-มาบตาพุด-ระยอง-เกาะเสม็ด ส่วนแนวที่ 2.ขยายธุรกิจอุตสาหกรรมเป้าหมาย และบริการ 2.1 สนามบิน-ตามถนน 331 (60 กม.
ถึงศรีราชา บ้านบึง) 2.2 สนามบิน-นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด-ถนน 3191 และถนน ระยะเวลาการขยายตัว 5 ปีแรก จะขยาย 10 กม.รอบสนามบิน (140,000 ไร่) สัตหีบ บ้านฉาง บางสะเหร่ จอมเทียน ระยะต่อไป 5-10 ปี ขยายออกเขตชั้นกลาง 30 กม. จากสนามบิน จากเมืองพัทยาถึงเมืองระยอง เป็นเขตพัฒนาเดียวกัน กระทั่ง 10-15 ปี ถัดไปจะขยายสู่เขตชั้นนอก 60 กม. จากสนามบิน
ปักธง 6 เรื่องหลักสู่เป้าหมาย
การพัฒนาต้องดำเนินการ 6 เรื่อง คือ 1.ศึกษาภาพรวมความเชื่อมโยงจากเมืองการบินสู่มหานครการบินภาคตะวันออก (เสร็จแล้ว) 2.เร่งรัดพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออกให้เสร็จภายในปี 2566 จัดทำ TOR ให้เสร็จใน ก.ย. 2561 และประกาศเชิญชวน ต.ค. 2561 คาดว่าจะได้ผู้ลงทุน ม.ค. 2562 โดยระยะแรกแล้วเสร็จปี 2566 พร้อมรถไฟความเร็วสูง
3.เร่งรัดการลงทุนอุตสาหกรรมอากาศยาน และอุตสาหกรรมเป้าหมาย 4.เร่งรัดดำเนินการตามแผนการท่องเที่ยว EEC 5.จัดวางการคมนาคมขนส่งในระยะ 10-30-60 กม.รอบสนามบิน 6.ให้กรมโยธาและผังเมืองทำผังการใช้พื้นที่ตามแผนที่ได้วางไว้
อย่างไรก็ตาม EEC เริ่มจากการวางโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและด้านดิจิทัล กำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยปรับเพิ่ม 5 อุตฯ เดิม (first S-curve) มียานยนต์แห่งอนาคต, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ, อาหารแห่งอนาคต, การท่องเที่ยวระดับโลก และเพิ่ม 5 อุตฯ ใหม่ (new S-curve) ได้แก่ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ, อากาศยานและโลจิสติกส์, เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ, การแพทย์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาวิถีชีวิตแบบใหม่ด้วยการท่องเที่ยว
ดังนั้นภายใน 5 ปีแรก โครงสร้างพื้นที่ต้องเสร็จมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟรางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือ ทางหลวง มอเตอร์เวย์ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ขณะที่ 10 อุตฯ เป้าหมายจะเกิดขึ้นในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา
5 ปี ลงทุนทะลุ 1.7 ล้านล้าน
และคาดว่าแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุนใน EEC จากภาครัฐและเอกชนภายใน 5 ปี มีมูลค่า 1.7 ล้านล้านบาท จากเป้าเดิมที่ 1.5 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เงินลงทุน 200,000 ล้านบาท (จากเดิม 158,000 ล้านบาท) ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ลงทุน 150,000 ล้านบาท (จากเดิม 88,000 ล้านบาท) ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ลงทุน 11,100 ล้านบาท (จากเดิม 10,150 ล้านบาท) อุตสาหกรรมเป้าหมาย ลงทุน 500,000 ล้านบาท สนามบินอู่ตะเภาเงิน 200,000 ล้านบาท พัฒนาเมืองใหม่ 400,000 ล้านบาท ท่องเที่ยว 200,000 ล้านบาท รถไฟรางคู่ 64,300 ล้านบาท มอเตอร์เวย์ 35,300 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดต้องเดินคู่ขนานในการทำขอบเขตงาน (TOR) ไปพร้อม ๆ กัน

Back To Top