ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok



ถ้าเอ่ยถึงเจ้าเหมียวอ้วนสีส้ม ตาปรือ พุงป่อง เชื่อว่าหลายคนต้องร้องอ๋อ ! เพราะจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าเหมียวจอมขี้เกียจนามว่า “การ์ฟิลด์” (Garfield)


การ์ฟิลด์ (Garfield) เป็นผลงานของ จิม เดวิส นักเขียนการ์ตูนชาวอเมริกัน ที่ตั้งชื่อคาแร็กเตอร์นี้ตามชื่อปู่ของเขา และนำการ์ฟิลด์พร้อมผองเพื่อนคือ จอน อาร์บัคเคิล เจ้านายของมัน และ โอดี้ เจ้าหมาน้อยหูยาวจอมเปิ่น ไปปรากฏตัวครั้งแรกในการ์ตูนช่องของหนังสือพิมพ์อเมริกัน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) จึงถือว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าเหมียวการ์ฟิลด์นั่นเอง ซึ่งนับจากวันแรกจนถึงวันนี้ การ์ฟิลด์ก็มีอายุอานามปาเข้าไปถึง 42 ปีแล้ว


นิสัยของเจ้าการ์ฟิลด์คือ เป็นแมวที่เกียจคร้าน ชอบกินลาซานญ่า ดูทีวี แล้วก็นอน แต่ถ้าตื่นเมื่อไหร่ล่ะก็ จะมีนิสัยขวางโลก มั่นใจในตัวเองสุดๆ แถมยังชอบกวนโอ๊ยเจ้านายอยู่บ่อยๆ และชอบแกล้งเจ้าหมาน้อยโอดี้เป็นที่สุด




ด้วยคาแร็กเตอร์ที่ถูกใจใครหลายคน การ์ฟิลด์ จึงถือเป็นการ์ตูนอเมริกันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ได้รับการตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารรวม 2,580 ฉบับ ทั้งยังได้รับการจดบันทึกลงในกินเนสส์ บุ๊ก ว่าเป็นการ์ตูนช่องที่ได้รับการตีพิมพ์มากที่สุดในโลกอีกด้วย...ไม่ธรรมดา


และจากการที่มีแฟนคลับทั่วโลก การ์ฟิลด์ จึงมีไลน์สินค้ามากมายให้สะสม และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์จนถึงปัจจุบันเช่นกัน




สุขสันต์วันเกิดนะ...การ์ฟิลด์

เนื้อหาข่าวโดย WORKPOINT NEWS
 


วันนี้ในอดีต 19 มิถุนายน ค.ศ. 1978 วันเกิดเจ้าเหมียวอ้วนการ์ฟิลด์ ถ้าเอ่ยถึงเจ้าเหมียวอ้วนสีส้ม ตาปรือ พุงป่อง...

โพสต์โดย Workpoint News เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2020
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok





ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเกาหลีเพิ่ม 59 คน ดังนี้ ผู้อาศัยในเกาหลี 51 คนและผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 8 คน


ตัวเลขกลับมาทะลุหลักห้าสิบอีกรอบ


จากการระบาดเป็นกลุ่มเฉพาะในโซลและปริมณฑล


ตอนนี้ลามไปถึงเมืองอื่นอย่างแทจอนแล้ว 15 มิ.ย. เมืองแทจอนมีผู้ติดเชื้อสะสมเพียง 46 คน (ในจำนวนนี้มีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ 15 คน) ผ่านไปสามวันมีผู้ติดเชื้อสะสม 61 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อที่เกี่ยวกับธุรกิจขายตรง


📌จำนวนผู้ติดเชื้อ 25 วันที่ผ่านมา


→ 25 คน → 16 คน → 19 คน → 40 คน 🚩 79 คน 🚩 58 คน → 39 คน → 27 คน→ 35 คน → 38 คน → 49 คน → 39 คน → 39 คน 🚩 51 คน 🚩 57 คน → 38 คน → 38 คน 🚩 50 คน → 45 คน 🚩 56 คน → 49 คน → 34 คน → 37 คน → 34 คน → 43 คน


----------------- อัปเดตตอน 00:00 น. 18 มิถุนายน 2020


แหล่งข่าว: 질병관리본부


Korea Centers for Disease Control and Prevention (KCDC)


#เกาหลีสู้ๆ #โควิด19 #โคโรนาเกาหลี #เอะอะก็เกาหลี #covid19 #코로나 #savekorea #ผู้ติดเชื้อเกาหลี


 


ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเกาหลีเพิ่ม 59 คน ดังนี้ ผู้อาศัยในเกาหลี 51 คนและผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 8...

โพสต์โดย เอะอะก็เกาหลี เมื่อ วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2020
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok



วันนี้ (16 มิ.ย.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 ก็มีเสียงสะท้อนจากชาวบ้านกลับมาว่า รู้สึกไม่สบายใจหลังเห็นข่าว น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ทวิตเตอร์ Pannika Wanich @Pannika_FWP ให้ยกเลิก ม.112 เพราะเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ตนก็สงสัยว่า ม.112 ไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพประชาชนอย่างไร ตนไม่ทราบว่า น.ส.พรรณิการ์ เคยอ่านกฎหมายหรือไม่ เนื่องจาก ม.112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี” และ น.ส.พรรณิการ์ มีความเดือดร้อนอะไรถ้าไม่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม


นายสามารถ กล่าวอีกว่า หากแม้เป็นประชาชนยังมีกฎหมายคุ้มครองห้ามผู้ใดมาหมิ่นประมาทผู้อื่นก็มีบทลงโทษ แต่สถาบันซึ่งเป็นสิ่งเทิดทูนของคนไทยทั้งประเทศให้การเคารพ รวมถึงตนเองด้วย และตนมั่นใจว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยคงไม่ยอมให้ใครมาพูดจาว่าร้ายสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง เพราะขนาดเป็นแค่ญาติพี่น้องครอบครัวเราใครมาพูดว่าให้ร้ายก็ยังไม่ยอมเลย ดังนั้น ตนมั่นใจว่า คนไทยต้องปกป้องและไม่ทำให้สถาบันต้องมัวหมองเด็ดขาด ถ้า น.ส.พรรณิการ์ จะแก้กฎหมาย ม.112 ก็ขอให้แก้ไปแบบเดิมน่าจะดี ตนจึงอยากให้ย้อนดูประวัติศาสตร์ว่ากฎหมายนี้มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่จะหยิบยกตัวอย่างใกล้ตัว คือ กฎหมายตรา 3 ดวง ในสมัย ร.1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดจากการชำระกฎหมายต่างๆ ในสมัยอยุธยา ซึ่งกฎหมายตรา 3 ดวง บัญญัติความผิดที่กระทำต่อพระมหากษัตริย์เป็นจำนวนมาก ตนขอยกมาเฉพาะ ในพระอาญาหลวง มาตรา 7 เป็นความผิดฐานเจรจาอันหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัวและประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติ และพระบัณฑูร ความว่า


“ผู้ใดทะนงองอาจ์บ่ยำบ่กลัว เจรจาหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัวประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติ แลพระบันทูลพระโองการ ท่านว่าผู้นั้นเลมิดพระราชอาญาพระเจ้าอยู่หัว ท่านให้ลงโทษ 8 สถานๆ หนึ่ง คือ ให้ฟันฅอริบเรือน ให้ตัดปากตัดหูตัดมือตัดตีนเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 25 ที 50 ที ให้จำไว้เดือนหนึ่ง แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ไหมจัตุระคูน แล้วเอาตัวลงเปนไพร่ ให้ไหมทวีคูน ให้ไหมลาหนึ่ง ให้ภาคทัณท์ไว้”


มาตรา 72 ความผิดฐานติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัว ความว่า “ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัวต่างต่าง พิจารณาเปนสัจ ให้ลงโทษ 3 สถานๆ หนึ่งคือ ให้ฟันฅอริบเรือน ให้ริบเอาสิ่งสีนแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ทวนด้วยลวดหนังโดยสกัน 50 ที มิสกัน 25 ที” และมาตรา 58 ความผิดฐานด่าผู้มีบรรดาศักดิ์ ความว่า “..ด่าท่านผู้มิบันดาศักดิ ท่านให้ลงโทษ 4 สถาน สถานหนึ่งคือ ให้แหวะปากลงโทษถึงสิ้นชีวิตร ให้ตัดปากเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 50 ที ไม้หวาย 25 ที ให้ไหมโดยยศถาศักดิ”


ต่อมา มีกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ด้วยกระแสรัฐสมัยใหม่จากตะวันตก อย่างเช่น ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีการให้ปฏิรูปกฎหมายและศาลนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ซึ่งมีการเพิ่มโทษฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ให้สูงขึ้นด้วย กฎหมายนี้กำหนดความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระบรมราชตระกูลไว้ในส่วนที่ 1 มาตรา 98 ความว่า “ผู้ใดทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระมเหษีก็ดี มกุฎราชกุมารก็ดี ต่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลารักษาราชการต่างพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินกว่าเจ็ดปี แลให้ปรับไม่เกินกว่า ห้าพันบาท อีกโสดหนึ่ง” และมาตรา 100 ความว่า “ผู้ใดทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อพระราชโอรส พระราชธิดา ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ารัชกาลหนึ่งรัชกาลใด ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินสามปี แลให้ปรับไม่เกินกว่าสองพันบาทด้วยอีกโสดหนึ่ง”


นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดความผิดจากการทำให้เกิดการดูหมิ่นและขาดความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ในหมวด 2 ว่าด้วยความผิดฐานกบฎภายในพระราชอาณาจักรมาตรา 104 ไว้ด้วย ความว่า “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ด้วยประการใดใด โดยเจตนาต่อผลอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ว่าต่อไปในมาตรานี้ คือ (1) เพื่อจะให้ขาดความจงรักภักดีหรือดูหมิ่น ต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ต่อรัฐบาลก็ดี หรือต่อราชการแผ่นดินก็ดี…ท่านให้เอามันผู้กระทำการอย่างใดใดโดยเจตนาเช่นว่ามานี้ ลงอาญาจำคุกไม่เกินกว่าสามปี แลให้ปรับไม่เกินกว่าพันบาทด้วยอีกโสตหนึ่ง”


นอกจากนี้ ขอหยิบยกเหตุการณ์ช่วงที่เริ่มมีคอมมิวนิสต์เข้ามาในประเทศไทย ก็มีการพยายามแก้กฎหมายการหมิ่นสถาบันอยู่หลายครั้ง เพื่อทำให้สถาบันอ่อนแอลงยิ่งช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองหลัง พ.ศ. 2475 มีการแก้กฎหมาย มาตรา 112 อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งแนวความคิดการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ยิ่งทวีความรุนแรงก็จะมีการขอให้แก้ไข มาตรา 112 ตลอดเวลา ไม่ว่าเป็นช่วง พ.ศ. 2499 หรือ พ.ศ. 2519 สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของคนที่ต้องการล้มล้างสถาบันหรือไม่ การที่หยิบยกอดีตประวัติศาสตร์เพราะสมัยโบราณพระมหากษัตริย์ไทยเป็นจอมทัพ ทรงเสียสละปกป้องแผ่นดินเพื่อประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด ตนขอหยิบยกคำสอนของหลวงพ่อคูณมาเป็นคำเตือนใจว่า “อย่าเณรคุณแผ่นดิน” เพราะว่าแผ่นดินนี้ให้เราเกิด แผ่นดินนี้ให้อาชีพ แผ่นดินนี้ให้ครอบครัว เราอย่าเณรคุณแผ่นดินนี้


นายสามารถ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนขอเตือนสติ น.ส.พรรณิการ์ ว่า อยากให้มีความรักต่อแผ่นดินถิ่นเกิดและสถาบันให้ได้สัก 1 ใน 100 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประเทศไทยจะได้ก้าวหน้าไปมากกว่านี้ สิ่งที่ น.ส.พรรณิการ์ เรียกร้องตนไม่เข้าใจถึงแนวคิด หรืออาจจะได้ข้อมูลอะไรผิดๆ ถึงได้พูดแบบนั้น หรือไม่แน่ว่าทฤษฎีสมคบคิดแบบที่ชาวบ้านว่าน่าจะเป็นจริง ตนเป็นห่วงคณะก้าวหน้าเพราะเห็นหลักการของผู้นำคณะก้าวหน้าแล้วน่าเป็นห่วง เพราะนอกจากไม่ศึกษาประวัติศาตร์แล้วยังเข้าใจแบบผิดๆ แล้วชอบยึดหลักแต่กฎกู ชอบเอาข้อมูลเท็จมาบอกประชาชน ตรงนี้น่าเป็นห่วง ตนขอเสนอ น.ส.พรรณิการ์ ตามที่ชาวบ้านบอกมาว่า ถ้าจะแก้กฎหมาย มาตรา112 ก็ให้เอากฎหมายสมัย 3 สามดวงมาใช้คือให้นำบทลงโทษ ฟันคอริบเรือนมาใช้ น่าจะดีอย่างแน่นอน

ข่าวจาก นิวส์วัน
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok




ปัญหารถยนต์ไฟฟ้าราคาแพง ค่าซ่อมบำรุงสูง แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว (เปลี่ยนทีก็แพงมาก) เข้าถึงยากอาจจะกำลังหมดไป เพราะยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla ปล่อยหมัดเด็ดออกมาอีกแล้ว “1 Million Miles Battery” หรือแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ถึง 1 ล้านไมล์ (ประมาณ 1.6 ล้านกิโลเมตร) ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนให้เราเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น และเทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นโมเดลให้ผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในอนาคต แล้วเมื่อถึงวันนั้นรถไฟฟ้าจะแพร่หลายมากขึ้น



ที่มาของการคิดค้น



ก่อนหน้านี้ Tesla ได้คุยอวดเอาไว้ว่ารถของเรานั้นสามารถใช้งานได้ถึง 1 ล้านไมล์ และเมื่อปี 2018 ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ด้วยการนำรถไปทดสอบ และนำภาพชิ้นส่วนเฟืองมาให้ดูกันจะจะ ว่านี่คือรถที่วิ่งมาแล้ว 1 ล้านไมล์ ซึ่งชิ้นส่วยสึกหรอไปน้อยมาก~



แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเกิดคำถามว่า “แล้วยังไง แบตเตอรี่ก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี?” อีลอน มัสก์ เลยตั้งใจที่จะลบคำสบประมาทนี้และสร้างแบตเตอรี่ 1 ล้านไมล์ขึ้นมาจริง ๆ ไม่นานเกินรอ ตอนนี้เขาทำสำเร็จแล้ว จดสิทธิบัตรเรียบร้อย และเตรียมที่จะใส่แบตเตอรี่ตัวใหม่นี้เข้าไปในรถ Tesla โมเดลใหม่ที่จะออกปลายปีนี้!



เพราะอะไรถึงใช้ได้นานขนาดนั้น?



แบตเตอรี่ตัวนี้เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate) ที่มีการใส่ NMC หรือ นิกเกิล แมงกานีส โคบอลต์ แบบผลึกเดี่ยวเจเนอเรชั่นใหม่เข้าไป ซึ่งแบตเตอรี่แบบเดิมจะใช้ NMC แบบผลึกเล็ก ๆ ทำให้แตกง่าย ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ทีมวิจัยจึงปรับให้ผลึก NMC ใหญ่ขึ้นเพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น และผลการวิจัยครั้งนี้คือแบตเตอรี่สามารถชาร์จได้ 4,000 ครั้ง โดยเสียความจุไปเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังลดการใช้โคบอลต์ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่แพงที่สุดลง เพื่อลดต้นทุน จะได้ขายได้ในราคาที่ถูกลงด้วย



และ Tesla ยังได้เทคโนโลยี Cell To Pack จากบริษัท CATL (Contemporary Amperex Technology Ltd.) ยักษ์ใหญ่จากจีน และบริษัทผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่ง Cell To Pack ถูกออกแบบมาให้ห่อหุ้มแบตเตอรี่ มีคุณสมบัติคือน้ำหนักเบา และราคาถูกด้วย



ถ้าไม่ได้ใช้ Tesla จะได้เข้าถึงเทคโนโลยีนี้หรือเปล่า!?



เรามีโอกาสสูงมากที่จะได้เข้าถึงเทคโนโลยีนี้ เพราะหลังจากที่ Tesla จดสิทธิบัตรแบตเตอรี่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้นำงานวิจัยมาเผยแพร่ ให้เจ้าอื่น ๆ ได้ศึกษาและปรับใช้เป็นของตัวเองกัน คิดว่านี่คือจุดประสงค์หลักของ อีลอน มักส์ ที่ต้องการให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาแทนที่รถยนต์ใช้น้ำมัน และแพร่หลายสักที



และอย่างที่บอกว่า Tesla จับมือกับ CATL ยักษ์ใหญ่จากจีน เมื่อจีนได้เทคโนโลยีอะไรไปอยู่ในมือแล้ว ก็สามารถนำไปปรับใช้ และผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ในราคาที่ย่อมเยาว์ นั่นหมายถึงเราไม่จำเป็นต้องซื้อรถ Tesla ก็ได้ เพราะคงมีอีกหลายหลายแบรนด์ หลากหลายรุ่นให้เลือก ในราคาถูก และคุณภาพดี ถึงตอนนั้นรถยนต์ใช้น้ำมันอาจจะตกกระป๋องไปเลยก็ได้



รถยนต์ไฟฟ้า Vs รถยนต์ใช้น้ำมัน เลือกอะไรคุ้มค่ากว่า?



เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าถูกพัฒนามาถึงจุดที่ทั้งตัวรถและแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 1 ล้านไมล์ หรือหลักไทย 1.6 ล้านกิโลเมตร คิดเล่น ๆ ว่า 1 ปีเราใช้รถประมาณ 30,000 กิโลเมตร ซึ่งรถคันนี้สามารถใช้งานได้ถึง 53 ปี เทียบกับรถยนต์ใช้น้ำมันที่เรารู้กันดีอยู่ว่ามีค่าซ่อมนู่น เติมนี่ จุกจิก ถ้าดูเป็นรายครั้งอาจจะไม่เยอะ แต่ถ้าลองเอามารวมกันก็มีตกใจกันบ้าง รวมไปถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมที่รถยนต์ไฟฟ้าปล่อยมลพิษน้อยกว่า ดีต่อโลกมากกว่า ถึงตอนนั้นเราคงต้องคิดกันแล้วว่าทำไมยังต้องใช้รถยนต์น้ำมันต่อไปอีก…



การมาของ 1 Million Miles Battery ถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการยานยนต์ครั้งใหญ่ นำเราเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า และผลักให้รถยนต์ใช้น้ำมันหายไป ในอนาคตอันใกล้ เรามาจับตาดูผู้เล่นรายอื่น ๆ กันต่อไปว่าจะปล่อยหมัดเด็ดอะไรมาเซอร์ไพรส์กันอีก คิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้มาคุยกันค่ะ

ขอขอบคุณข่าวจาก LDA ลดา
 



ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok




รถไฟฟ้าสายไหน ใครอนุมัติ ???


สรุปให้สั้นๆ ว่ารัฐบาลไหน อนุมัติก่อสร้างรถไฟฟ้าสายไหนบ้าง


#ยุคคุณทักษิณ อนุมัติ 1 สาย คือ สาย Airport Link ระยะทาง 28.5 กม.


#ยุคพลเอกสุรยุทธ์ อนุมัติ 2 สาย คือ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) สายสีแดงอ่อน (บางชื่อ-ตลิ่งชัน) ระยะทางรวม 41.3 กม.


#ยุคคุณสมัคร อนุมัติ 1 สาย คือ ต่อขยาย สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ระยะทาง 13 กม.


#ยุคคุณสมชาย ไม่มีอนุมัติสักเส้นทาง เนื่องจากมีเวลาบริหาร 2 เดือน


#ยุคคุณอภิสิทธิ์ อนุมัติ 2 สาย คือ สายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) สายสีน้ำเงินต่อขาย หัวลำโพง-บางแค และ บางซื่อ -ท่าพระ ระยะทางรวม 46 กม.


#ยุคคุณยิ่งลักษณ์ อนุมัติ 1 สาย คือ สายสีเขียวต่อขยาย หมอชิต - คูคต ระยะทาง 19 กม.


#ยุคลุงตู่ (คสช.+ประยุทธ์) อนุมัติไปทั้งสิ้น 10 สาย ระยะทางรวม 204.9 กม. ได้แก่


1. แดงอ่อน (ตลิ่งชัน - ศาลายา) 14.8 กม.


2. แดงเข้ม (รังสิต - ธรรมศาสตร์) 8.9 กม.


3. สายสีม่วง (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) 23.6 กม.


4. สายสีทองกรุงธนบุรี- ประชาธิปก 2.7 กม.


5. แดงอ่อน (พญาไท-หัวหมาก) แดงเข้ม (บางซื่อหัวลำโพง รวม 25.9 กม.


6. สีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) 22.5 กม.


7. สีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 34.5 กม.


8. สีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 30.4 กม.


9.สายสีส้ม(ตะวันตก) ช่วงบางขุนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย 35.9 กม.


10. สายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช 5.7 กม.


อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติ


1. สายสีน้ำตาล (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 21 กม.


2. สายสีเทา (วัชรพล - ทองหล่อ) ระยะทาง 16.25 กม.


ซึ่งรัฐบาลนี้ก็เดินหน้าต่อจากโครงการเดิมโดยการผลักดันตามความสำคัญซึ่งฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นผู้ผลักดันโครงการ เพื่อเดินหน้ากันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงนี้ ผมขอให้เครดิตกับรัฐบาลนี้ ที่เดินหน้าต่อเนื่องอย่างทันที ซึ่งเท่าที่ผมทราบได้แก่


-โครงการรถไฟฟ้า กรุงเทพ 7 สายทาง


-โครงการรถไฟทางคู่ 3 ทิศทาง เหนือ อิสาน และใต้


-โครงการรถไฟความเร็วสูง 2 สายทาง โคราช และ 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา


-โครงการมอเตอร์เวย์ 3 สายทาง กาญจนบุรี โคราช และมาบตาพุด


-โครงการสนามบินใหม่ 1 แห่ง คือ เบตง และขยายสนามบินขอนแก่น กระบี นครศรีธรรมราช


รถไฟฟ้าสายไหน ใครอนุมัติ ??? สรุปให้สั้นๆ ว่ารัฐบาลไหน อนุมัติก่อสร้างรถไฟฟ้าสายไหนบ้าง #ยุคคุณทักษิณ อนุมัติ 1 สาย...

โพสต์โดย Bangkok I Love You เมื่อ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2020
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok



วันอังคาร (16 มิ.ย.) คณะกรรมการสุขภาพเทศบาลนครปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน รายงานว่าปักกิ่งตรวจพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ติดเชื้อภายในประเทศ เพิ่ม 27 ราย และผู้ป่วยไม่แสดงอาการเพิ่มอีก 3 ราย ในวันจันทร์ (15 มิ.ย.)


. คณะกรรมการระบุว่าปักกิ่งรายงานการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศที่ได้รับการยืนยันผลรวม 526 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีและออกจากโรงพยาบาลแล้ว 411 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 9 ราย เมื่อนับถึงวันจันทร์ (15 มิ.ย.) ขณะที่ยังเหลือผู้ป่วยที่ยังอยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล 106 ราย และผู้ป่วยไม่แสดงอาการที่ยังอยู่ภายใต้การสังเกตอาการทางการแพทย์อีก 10 ราย


. ขณะเดียวกัน ปักกิ่งมีรายงานผู้ป่วยที่มาจากต่างประเทศรวม 174 ราย โดยในจำนวนนี้ยังอยู่ระหว่างรักษาตัวอีกเพียง 1 ราย เมื่อนับถึงปัจจุบัน


. . (แฟ้มภาพซินหัว : เจ้าหน้าที่การแพทย์เก็บรวบรวมตัวอย่างสารคัดหลั่งจากลำคอเพื่อตรวจหาโควิด-19 ให้แก่ผู้อาศัยในเขตเฟิงไถของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2020)


ข่าวจาก ซินหัวนิวส์


'ปักกิ่ง' ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 27 ราย เหลือรักษาในรพ. กว่า 100 ราย . วันอังคาร (16 มิ.ย.) คณะกรรมการสุขภาพเทศบาลนครปักกิ่ง...

โพสต์โดย China Xinhua News เมื่อ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2020
ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok



ทางการจีนยังคงปฏิบัติการอย่างฉับไวครอบคลุมเมื่อวันจันทร์ (15 มิ.ย.) เพื่อเร่งควบคุมการระบาด หลังพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเมืองหลวงปักกิ่ง เพิ่มขึ้นวันละเป็นหลักสิบต่อเนื่องกันหลายวัน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนเกาหลีใต้อาจเจอการระบาดระลอกใหม่ โดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มวันละ 800 คน หากไม่ใช้มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมเอย่างข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น


หลังจากไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศเป็นเวลาเกือบสองเดือน ในวันจันทร์ (15) เจ้าหน้าที่ปักกิ่ง แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 36 คน ซึ่งเชื่อมโยงกับการระบาดแบบกลุ่มก้อนในตลาดซินฟาตี้ ตลาดขายส่งขนาดยักษ์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง รวม 4 วันพบผู้ติดเชื้อในปักกิ่ง 79 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดนับจากเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศในวันจันทร์อยู่ที่ 49 คน


สีว์ อิง เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลปักกิ่ง แถลงว่า ความพยายามในการควบคุมการระบาด เปรียบเทียบได้กับการเข้าสู่โหมดในสมัยสงครามอย่างรวดเร็ว โดยมีย่านสายถนน 7,200 แห่ง และเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคระบาดเกือบ 100,000 คนเข้าสู่ “สนามรบ” แล้ว


การระบาดครั้งนี้มีที่มาจากตลาดซินฟาตี้ ที่มีกิจกรรมซื้อขายผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์วันละหลายพันตัน และมีขนาดใหญ่กว่าตลาดอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่นที่พบการระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วกว่า 20 เท่า


นอกจากนั้น ทางการแถลงว่า ยังพบการระบาดในตลาดขายส่ง อี้ว์ฉวนตง ในเขตไห่เตี้ยน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปักกิ่ง ซึ่งผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 1 คน มีความเชื่อมโยงกับตลาดซินฟาตี้ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สั่งล็อกดาวน์กลุ่มอาคารที่พักอาศัย 10 แห่งในบริเวณใกล้เคียง และปิดโรงเรียนในละแวกนั้น


การพบผู้ติดเชื้อระลอกใหม่กระตุ้นความกังวลว่า โควิด-19 กำลังกลับมาระบาดรอบสอง และทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่างๆ ของปักกิ่งต้องรื้อฟื้นมาตรการจำกัดเข้มงวดกลับมาใช้เพื่อควบคุมการระบาด ซึ่งรวมถึงการตั้งจุดตรวจตลอด 24 ชั่วโมง การปิดโรงเรียนและสนามกีฬา และการตรวจวัดอุณหภูมิตามห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และสำนักงาน


ชาวปักกิ่งยังได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัดและการกินอาหารร่วมกับคนจำนวนมาก


บางเขตถึงขั้นส่งเจ้าหน้าที่ไปตามอาคารที่พักอาศัยต่างๆ เพื่อค้นหาคนที่เคยไปตลาดซินฟาตี้ หรือเคยติดต่อกับคนที่เคยไปตลาดดังกล่าว


ปักกิ่งเริ่มการตรวจหาผู้ติดเชื้อในพื้นที่บริเวณนี้เมื่อวันอาทิตย์ (14) โดยมีประชาชนนับหมื่นเข้าคิวรอ และจากการตรวจประชาชนที่เคยไปตลาดซินฟาตี้เมื่อเร็วๆ นี้ จำนวน 8,950 คนจนถึงเช้าวันจันทร์ พบว่า 6,075 คนได้ผลออกมาเป็นลบ


องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงในวันอาทิตย์ว่า ได้รับแจ้งเรื่องการระบาดคราวนี้และการสอบสวนโครจากทางพวกเจ้าหน้าที่จีนแล้ว


“WHO เข้าใจว่า จะมีการเผยแพร่การจัดลำดับพันธุกรรม (ของไวรัสโคโรนานี้) โดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในทันทีที่การวิเคราะห์ทางห้องแล็ปเพิ่มเติมกระทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์” องค์การอนามัยโลกระบุในคำแถลง


ขณะที่สื่อรัฐของจีนรายงานในวันจันทร์โดยอ้างคำพูดของ เกา ฝู ผู้อำนวยการศูนย์กลางเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคของจีนที่กล่าวว่า จีนได้เสร็จสิ้นการศึกษาการจัดลำดับพันธุกรรมสำหรับไวรัสโคโรนาซึ่งพบในตัวอย่างต่างๆ ที่เก็บมาจากการระบาดล่าสุด และได้ข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็ตาม เกาไม่ได้ให้รายละเอียดมากกว่านี้


สื่อรัฐรายงานเพียงว่า เกากล่าวว่า ความพยายามในการติดตามต้นตอของไวรัสนี้ยังคงดำเนินอยู่


มีนักระบาดวิทยาผู้หนึ่งซึ่งทำงานกับรัฐบาลปักกิ่ง กล่าวในวันอาทิตย์ว่า การจัดลำดับดีเอ็นเอของไวรัสนี้ แสดงให้เห็นว่า การระบาดที่ซินฟาตี้ อาจจะมาจากยุโรป


รายงานข่าวบอกว่า ขณะนี้รัฐบาลท้องถิ่นในหลายๆ ส่วนของจีนได้เตือนประชาชนของพวกเขาว่าอย่าได้เดินทางไปปักกิ่งโดยไม่จำเป็น รวมทั้งประกาศว่าผู้มาเยือนซึ่งเดินทางจากปักกิ่งจะต้องถูกกักกันโรค


บางมณฑลขอให้ผู้ที่เพิ่งเดินทางมาจากพื้นที่ในปักกิ่งซึ่งถูกระบุว่ามีความเสี่ยงระดับสูงและระดับกลาง ต้องเข้ากักกันโรคเป็นเวลา 7 วัน ขณะที่เมืองใหญ่เมืองหนึ่งในมณฑลเฮยหลงเจียงกำหนดให้กักกันโรคถึง 3 สัปดาห์


สำหรับทางเทศบาลมหานครเซี่ยงไฮ้ และมณฑลอื่นๆ อีก 9 มณฑล เป็นต้นว่า หูเป่ย, กวางตุ้ง และ ไหหลำ ยังไม่ได้ประกาศบังคับกักกันโรคผู้มาเยือนซี่งมาจากปักกิ่ง ตลอดจนชาวมณฑลของตนที่กลับจากเมืองหลวง ถึงแม้มีการกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดแตกต่างกันออกไป




ไทย กรุงเทพ กทม การเมือง ท่องเที่ยว สังคม Thai Thailand bangkok





นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom โดยมีเนื้อหาดังนี้


เรียกอะไรดี??


ท่านนายกพูดว่า"ทรงพระเมตตาไม่ให้ใช้มาตรา112"


แต่ช่อกับไปโพสต์ " เป็นที่รู้กันมานานว่ากม.นี้มีปัญหา ถูกใช้ละเมิดเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชน"


แค่นี้ช่อก็มาบิดเบือนอีกแล้วว่า ม.112 ถูกใช้เพื่อละเมิดเสรีภาพของประชาชน


ความจริงแล้ว ช่อน่าจะรู้กฏหมายนะ เมืองไทยนั้นมีสิทธิและเสรีภาพเต็มที่ น่าจะอันดับต้นๆของโลก เห็นต่างได้เต็มร้อย แต่ไม่ให้ จาบจ้วง หมิ่นประมาท


ผมไม่เห็นมีประชาชนคนไหนเดือดร้อนกับการแสดงความเห็นเลย เพราะทุกคนต้องระมัดระวัง การไปกระทบผู้อื่น มีพวกท่านเท่านั้นแหละ ที่ชอบไปก้าวล่วงและพูดว่า ถูกจำกัดเสรีภาพ โดยมีต่างชาติช่วยไปขยายผล


เรื่องแบบนี้ใครเขาก็รู้ว่า พวกท่านคิดอะไรอยู่ ที่สำคัญ การเป็นนักการเมืองต้องไม่โกหก บิดเบือนนะ ผู้ชายโกหกบิดเบือนเขาเรียก"กะล่อน" แต่ถ้าเป็นหญิง ไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี ??? #save112





เรียกอะไรดี?? ท่านนายกพูดว่า"ทรงพระเมตตาไม่ให้ใช้มาตรา112" แต่ช่อกับไปโพสต์ " เป็นที่รู้กันมานานว่ากม.นี้มีปัญหา...

โพสต์โดย Warong Dechgitvigrom เมื่อ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2020