วันนี้ (16 มิ.ย.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 ก็มีเสียงสะท้อนจากชาวบ้านกลับมาว่า รู้สึกไม่สบายใจหลังเห็นข่าว น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ทวิตเตอร์ Pannika Wanich @Pannika_FWP ให้ยกเลิก ม.112 เพราะเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ตนก็สงสัยว่า ม.112 ไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพประชาชนอย่างไร ตนไม่ทราบว่า น.ส.พรรณิการ์ เคยอ่านกฎหมายหรือไม่ เนื่องจาก ม.112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี” และ น.ส.พรรณิการ์ มีความเดือดร้อนอะไรถ้าไม่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม
นายสามารถ กล่าวอีกว่า หากแม้เป็นประชาชนยังมีกฎหมายคุ้มครองห้ามผู้ใดมาหมิ่นประมาทผู้อื่นก็มีบทลงโทษ แต่สถาบันซึ่งเป็นสิ่งเทิดทูนของคนไทยทั้งประเทศให้การเคารพ รวมถึงตนเองด้วย และตนมั่นใจว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยคงไม่ยอมให้ใครมาพูดจาว่าร้ายสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง เพราะขนาดเป็นแค่ญาติพี่น้องครอบครัวเราใครมาพูดว่าให้ร้ายก็ยังไม่ยอมเลย ดังนั้น ตนมั่นใจว่า คนไทยต้องปกป้องและไม่ทำให้สถาบันต้องมัวหมองเด็ดขาด ถ้า น.ส.พรรณิการ์ จะแก้กฎหมาย ม.112 ก็ขอให้แก้ไปแบบเดิมน่าจะดี ตนจึงอยากให้ย้อนดูประวัติศาสตร์ว่ากฎหมายนี้มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่จะหยิบยกตัวอย่างใกล้ตัว คือ กฎหมายตรา 3 ดวง ในสมัย ร.1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดจากการชำระกฎหมายต่างๆ ในสมัยอยุธยา ซึ่งกฎหมายตรา 3 ดวง บัญญัติความผิดที่กระทำต่อพระมหากษัตริย์เป็นจำนวนมาก ตนขอยกมาเฉพาะ ในพระอาญาหลวง มาตรา 7 เป็นความผิดฐานเจรจาอันหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัวและประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติ และพระบัณฑูร ความว่า
“ผู้ใดทะนงองอาจ์บ่ยำบ่กลัว เจรจาหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัวประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติ แลพระบันทูลพระโองการ ท่านว่าผู้นั้นเลมิดพระราชอาญาพระเจ้าอยู่หัว ท่านให้ลงโทษ 8 สถานๆ หนึ่ง คือ ให้ฟันฅอริบเรือน ให้ตัดปากตัดหูตัดมือตัดตีนเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 25 ที 50 ที ให้จำไว้เดือนหนึ่ง แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ไหมจัตุระคูน แล้วเอาตัวลงเปนไพร่ ให้ไหมทวีคูน ให้ไหมลาหนึ่ง ให้ภาคทัณท์ไว้”
มาตรา 72 ความผิดฐานติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัว ความว่า “ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัวต่างต่าง พิจารณาเปนสัจ ให้ลงโทษ 3 สถานๆ หนึ่งคือ ให้ฟันฅอริบเรือน ให้ริบเอาสิ่งสีนแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ทวนด้วยลวดหนังโดยสกัน 50 ที มิสกัน 25 ที” และมาตรา 58 ความผิดฐานด่าผู้มีบรรดาศักดิ์ ความว่า “..ด่าท่านผู้มิบันดาศักดิ ท่านให้ลงโทษ 4 สถาน สถานหนึ่งคือ ให้แหวะปากลงโทษถึงสิ้นชีวิตร ให้ตัดปากเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 50 ที ไม้หวาย 25 ที ให้ไหมโดยยศถาศักดิ”
ต่อมา มีกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ด้วยกระแสรัฐสมัยใหม่จากตะวันตก อย่างเช่น ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีการให้ปฏิรูปกฎหมายและศาลนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ซึ่งมีการเพิ่มโทษฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ให้สูงขึ้นด้วย กฎหมายนี้กำหนดความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระบรมราชตระกูลไว้ในส่วนที่ 1 มาตรา 98 ความว่า “ผู้ใดทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระมเหษีก็ดี มกุฎราชกุมารก็ดี ต่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลารักษาราชการต่างพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินกว่าเจ็ดปี แลให้ปรับไม่เกินกว่า ห้าพันบาท อีกโสดหนึ่ง” และมาตรา 100 ความว่า “ผู้ใดทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อพระราชโอรส พระราชธิดา ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ารัชกาลหนึ่งรัชกาลใด ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินสามปี แลให้ปรับไม่เกินกว่าสองพันบาทด้วยอีกโสดหนึ่ง”
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดความผิดจากการทำให้เกิดการดูหมิ่นและขาดความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ในหมวด 2 ว่าด้วยความผิดฐานกบฎภายในพระราชอาณาจักรมาตรา 104 ไว้ด้วย ความว่า “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ด้วยประการใดใด โดยเจตนาต่อผลอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ว่าต่อไปในมาตรานี้ คือ (1) เพื่อจะให้ขาดความจงรักภักดีหรือดูหมิ่น ต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ต่อรัฐบาลก็ดี หรือต่อราชการแผ่นดินก็ดี…ท่านให้เอามันผู้กระทำการอย่างใดใดโดยเจตนาเช่นว่ามานี้ ลงอาญาจำคุกไม่เกินกว่าสามปี แลให้ปรับไม่เกินกว่าพันบาทด้วยอีกโสตหนึ่ง”
นอกจากนี้ ขอหยิบยกเหตุการณ์ช่วงที่เริ่มมีคอมมิวนิสต์เข้ามาในประเทศไทย ก็มีการพยายามแก้กฎหมายการหมิ่นสถาบันอยู่หลายครั้ง เพื่อทำให้สถาบันอ่อนแอลงยิ่งช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองหลัง พ.ศ. 2475 มีการแก้กฎหมาย มาตรา 112 อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งแนวความคิดการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ยิ่งทวีความรุนแรงก็จะมีการขอให้แก้ไข มาตรา 112 ตลอดเวลา ไม่ว่าเป็นช่วง พ.ศ. 2499 หรือ พ.ศ. 2519 สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของคนที่ต้องการล้มล้างสถาบันหรือไม่ การที่หยิบยกอดีตประวัติศาสตร์เพราะสมัยโบราณพระมหากษัตริย์ไทยเป็นจอมทัพ ทรงเสียสละปกป้องแผ่นดินเพื่อประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด ตนขอหยิบยกคำสอนของหลวงพ่อคูณมาเป็นคำเตือนใจว่า “อย่าเณรคุณแผ่นดิน” เพราะว่าแผ่นดินนี้ให้เราเกิด แผ่นดินนี้ให้อาชีพ แผ่นดินนี้ให้ครอบครัว เราอย่าเณรคุณแผ่นดินนี้
นายสามารถ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนขอเตือนสติ น.ส.พรรณิการ์ ว่า อยากให้มีความรักต่อแผ่นดินถิ่นเกิดและสถาบันให้ได้สัก 1 ใน 100 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประเทศไทยจะได้ก้าวหน้าไปมากกว่านี้ สิ่งที่ น.ส.พรรณิการ์ เรียกร้องตนไม่เข้าใจถึงแนวคิด หรืออาจจะได้ข้อมูลอะไรผิดๆ ถึงได้พูดแบบนั้น หรือไม่แน่ว่าทฤษฎีสมคบคิดแบบที่ชาวบ้านว่าน่าจะเป็นจริง ตนเป็นห่วงคณะก้าวหน้าเพราะเห็นหลักการของผู้นำคณะก้าวหน้าแล้วน่าเป็นห่วง เพราะนอกจากไม่ศึกษาประวัติศาตร์แล้วยังเข้าใจแบบผิดๆ แล้วชอบยึดหลักแต่กฎกู ชอบเอาข้อมูลเท็จมาบอกประชาชน ตรงนี้น่าเป็นห่วง ตนขอเสนอ น.ส.พรรณิการ์ ตามที่ชาวบ้านบอกมาว่า ถ้าจะแก้กฎหมาย มาตรา112 ก็ให้เอากฎหมายสมัย 3 สามดวงมาใช้คือให้นำบทลงโทษ ฟันคอริบเรือนมาใช้ น่าจะดีอย่างแน่นอน
Post A Comment: