เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาคาดว่ากรุงปักกิ่งจะยังมีฝนตกสั้นๆ แต่หนักในอีกสองวันข้างหน้า หลังจากมีฝนฟ้าคะนองต่อเนื่องที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบริเวณที่ราบและบริเวณใกล้แหล่งน้ำในกรุงปักกิ่ง รวมไปถึงเหตุถนนยุบหลายสายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 ก.ค.)
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาปักกิ่งระบุว่าว่าปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยในปักกิ่ง ตั้งแต่เวลา 20.00 น. ของวันอาทิตย์ถึงจนถึงเวลา 10.00 น. ของวันจันทร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 36.6 มิลลิเมตร โดยเขตมี่หยุนเป็นพื้นที่ที่มีฝนมากที่สุดที่ประมาณ 310 มิลลิเมตร และในบรรดาพื้นที่ 108 แห่งที่เจ้าหน้าที่ติดตาม มีมากกว่า 22 แห่งที่มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 100 มิลลิเมตร
ฝนที่ตกหนักยังทำให้แม่น้ำไป่เหอในเขตมี่หยุนเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ โดยระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำต้าสุ่ยยู่ว์ที่วัดได้เมื่อวันจันทร์สูงเกินปริมาณที่ปลอดภัยซึ่งสามารถควบคุมได้มาราว 1.7 เมตร จึงมีการอพยพผู้คนในเขตมี่หยุน หวายโหรว และฝางซานแล้ว 782 คน รวมถึงมีคำสั่งให้ปิดแหล่งท่องเที่ยว 148 แห่งชั่วคราว
นอกจากนี้ ฝนยังทำให้เกิดเหตุถนนยุบ 9 จุด สะพานข้ามบางแห่งถูกน้ำท่วมมิด บางแห่งถูกน้ำซัดพัง รถยนต์ได้รับความเสียหายหลายคันเนื่องจากน้ำท่วมสูง หน่วยงานการขนส่งสาธารณะของกรุงปักกิ่งจำเป็นต้องปรับเส้นทางรถประจำทางรวมถึงป้ายรถจำนวน 26 สายเพื่อหลีกเลี่ยงจุดที่น้ำท่วมเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.
เที่ยวบินจำนวนมากที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งถูกยกเลิกหรือล่าช้า เพราะสภาพอากาศทำให้ความสามารถในการสัญจรลดลงถึง 40% ในช่วงเวลา 8.00-12.00 น. ของวันจันทร์
จนถึงช่วง 14:00 น. สายการบินไชน่าเซาท์เทิร์นแอร์ไลน์ได้ยกเลิกเที่ยวบิน 37 เที่ยว ส่วนสายการบินแอร์ไชน่าได้ยกเลิกเที่ยวบินรวม 61 เที่ยว ตั้งแต่เวลา 13.00 น.
คาดว่าตั้งแต่บ่ายวันจันทร์ถึงวันพุธนี้ ปักกิ่งจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยในวันนี้ (อังคารที่ 17 ก.ค.) คาดว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในปักกิ่งจะมีปริมาณน้ำฝนราว 30-40 มิลลิเมตร และในหนึ่งชั่วโมงอาจสูงสุดถึง 50 มิลลิเมตร
ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้ดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุดินและหินถล่ม 5 ล้านลูกบาศก์เมตร ในมณฑลกานซู่เมื่อวันพฤหัสบดี ส่งผลให้มีเศษดินหินและซากความเสียหายต่างๆ ราว 10,000 ลูกบาศก์เมตรไหลเข้าสู่แม่น้ำไป๋หลง โดยบางส่วนของเศษดินและหินเหล่านี้ได้ปิดกั้นทางไหลของแม่น้ำและเพิ่มระดับน้ำให้สูงขึ้น
ข่าวจาก สำนักข่าวซินหัว
Post A Comment: